เมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่ชีวิตกลับไม่เป็นอย่างที่เคยคาดหวัง บางครั้งอาจต้องกลับมาปรับมุมมองด้านเป้าหมายชีวิต การให้คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ความเข้าใจในตัวเอง และหลาย ๆ ครั้งการตามหาตัวตนนั้นไม่จำเป็นต้องออกเดินทางไปไหนไกลเสมอไป เพียงแค่หาเวลาว่างให้ตัวเองได้อ่านหนังสือดี ๆ สักเล่มก็อาจทำให้ได้ค้นพบแนวคิดที่ดีแล้ว MenDetails.com ขอหยิบ 4 หนังสือแปล หมวด Fiction และจิตวิทยาจากต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่นและอเมริกามาแนะนำ และคุณจะค้นพบความหมายของชีวิตอย่างที่ตัวเองคาดไม่ถึงเลยล่ะครับ
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
แท็กซี่คันนี้รับส่งความหวัง (運転者)
ผู้เขียน : คิตางาวะ ยาซุชิ ผู้แปล : อิศเรศ ทองปัสโณว์
สำนักพิมพ์ : WeLearn
จำนวนหน้า : 256 หน้า
คำโปรยบนหน้าปกหนังสือ แท็กซี่คันนี้รับส่งความหวัง ปรากฏเอาไว้ว่า ‘ค้นพบสิ่งสำคัญที่ทำหล่นหายในที่ที่คาดไม่ถึง’ เล่มนี้เป็นเรื่องราวของ ‘โอกาดะ ชูอิจิ’ พนักงานขายประกันวัยกลางคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาชีวิตรอบด้าน เริ่มตั้งแต่เรื่องงานขายประกันที่นึกว่าจะรุ่งแต่กลับส่อแววร่วง เพราะลูกค้าจะขอยกเลิกกรมธรรม์ทั้งหมด ส่งผลให้เจอปัญหาด้านการเงินที่ต้องจ่ายหนี้ ทั้งยังมีปัญหาเรื่องครอบครัวที่ลูกสาวไม่ยอมไปโรงเรียน พอหนึ่งอย่างทำท่าจะล้ม หลายอย่างก็แทบจะเป็นโดมิโน่ตามกันไปหมด
ในวันที่รู้สึกชีวิตสิ้นหวัง ชูอิจิได้บังเอิญขึ้นแท็กซี่ประหลาดคันหนึ่งซึ่งมิเตอร์มีตัวเลขเริ่มต้นในมูลค่าสูงมากอยู่แล้ว แต่คนขับบอกกับเขาว่าสามารถนั่งโดยไม่ต้องจ่ายเงิน และเขามีหน้าที่พาชูอิจิไปยังสถานที่ที่ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาชีวิตอีกต่างหาก ในวันที่ชูอิจิรู้สึกอับจนหนทาง แท็กซี่คันนั้นก็จะวกกลับมารับเขาอยู่เสมอพร้อมกับค่ามิเตอร์ที่ค่อย ๆ ลดลงตามระยะทางการเดินทาง ในครั้งแรกที่ได้นั่งเขาไม่รู้เลยว่า แท็กซี่คันนี้จะเปลี่ยนชะตาชีวิตเขาไปตลอดกาล
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
หนังสือเล่มนี้ให้แง่คิดเราผ่านบทสนทนาของคนที่กำลังท้อถอยในชีวิตกับคนขับแท็กซี่ตลอดการเดินทาง ในขณะที่ชูอิจิมองว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย มีแต่เขาที่เจอเรื่องแย่ ๆ อยู่เสมอ ช่างแตกต่างกับคนอื่นที่เหมือนไม่ต้องทำอะไรก็เจอแต่โชคดี คนขับแท็กซี่ได้พยายามชี้แนะมุมมองใหม่ให้กับเขาว่า จริง ๆ แล้วคนเรามีจุดพลิกผันชะตาได้เสมอ ทุกคนล้วนมีเสาสัญญาณที่จะรับรู้สถานการณ์นั้นได้เหมือนกัน เพียงแต่มันจะทำงานได้ดีเฉพาะเวลาที่อารมณ์ดี ส่วนเวลาที่อารมณ์เสีย เสาสัญญาณจะไม่ทำงาน คงเปรียบได้กับเวลาที่เรารู้สึกหงุดหงิด โมโหแล้วเราต้องไปทำงาน ไปเจอผู้คน แทนที่เราจะสามารถขายงาน หรือสร้างโอกาสดี ๆ ให้กับตัวเองได้ บางทีกลับกลายเป็นว่าเราเป็นคนไล่ตะเพิดโอกาสเหล่านั้นไปด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น
นอกจากนั้น ยังมีประเด็นที่ชูอิจิมองว่าเรื่องดี ๆ เกิดกับคนอื่นเพียงแค่เพราะพวกเขาโชคดี ทั้งที่จริงแล้วเราเห็นชีวิตคนอื่นแค่เพียงส่วนเดียว เป็นจุดเล็ก ๆ ในชีวิตเขา คนขับแท็กซี่บอกว่าไม่มีใครอยู่ ๆ โชคดีขึ้นมาหรอก จงมองว่าโชคคือการสะสมแต้ม คนที่อยู่เฉย ๆ มาตลอด ไม่เคยสะสมแต้มก็ย่อมไม่มีแต้มไปแลกของ ฉะนั้น หากเรามองว่าโชคไม่ใช่สิ่งเกิดขึ้นมาเอง แต่เป็นผลจากการกระทำในอดีตของตัวเอง หรือคนใกล้ชิด คนในครอบครัว สายตระกูลของเราหรือคนที่มีความข้องเกี่ยวกัน มันก็จะทำให้เห็นชัดขึ้นว่าจริง ๆ แล้วไม่มีใครได้อะไรมาฟรี การได้มาของบางสิ่งแลกกับอะไรบางอย่างเสมอ ฉะนั้นทำตัวเองให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะมาในอนาคต รวมถึงกระทำการที่เป็นการสะสมแต้มให้ตัวเองไปในทุก ๆ วันด้วย
The Why Café คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง
ผู้เขียน : John Strelecky ผู้แปล : ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ
สำนักพิมพ์ : Be(ing)
จำนวนหน้า : 184 หน้า
เพียงแค่ชื่อเรื่องและคำโปรยว่า ‘บางครั้งชีวิตก็ทำให้เราหลงทางไปบ้าง ลองแวะคาเฟ่ข้างทางเพื่อเยียวยาหัวใจ’ นั้นก็คงทำให้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านได้อย่างไม่ยากเย็น หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวของ ‘จอห์น’ ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตไปตามเส้นทางแบบคนทั่วไป ตั้งใจเรียน เรียนจบ ทุ่มเทกับการทำงาน ทั้งที่คิดว่าชีวิตเป็นไปทางเส้นทางดีแล้ว แต่วันหนึ่งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองหลงทาง ไม่รู้ว่าต้องพาชีวิตไปทางไหน จนเขาตัดสินใจลาพักร้อนหนึ่งสัปดาห์เพื่อจะได้ไปชาร์จแบตให้ตัวเอง ในขณะที่เขากำลังขับรถไปตามทางก็มีหลายเหตุการณ์ทำให้เขาต้องเลือกถนนเส้นใหม่จนสุดท้ายเขาหลงทางในที่สุด
จอห์นขับรถบนถนนอยู่หลายชั่วโมง ท้องเริ่มหิวและน้ำมันใกล้หมด จนเขาได้มาพบกับร้าน The why are you here cafe ที่ตั้งอยู่โดด ๆ บนถนนเส้นที่ไม่น่าจะมีร้านอาหารหรืออะไรตั้งอยู่ แต่สุดท้ายจอห์นก็ตัดสินใจเข้าไปคาเฟ่และได้พบกับบริกรหญิง เจ้าของร้าน และแขกในร้าน ที่จะทำให้ค่ำคืนที่หลงทางของเขากลับกลายมาเป็นคืนที่น่าจดจำที่สุดอีกหนึ่งคืนในชีวิต ขณะที่สั่งอาหารเสร็จแล้วพลิกเมนูไปด้านหลัง จอห์นได้พบกับคำถาม 3 ข้อ ว่า เหตุใจคุณจึงมาที่นี่, คุณกลัวตายไหม และคุณพึงพอใจกับชีวิตตัวเองหรือยัง
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
ข้อคิดที่มอบแก่บุคคลที่กำลังหลงทางทุกคนนั้นเล่าผ่านการสนทนาของจอห์น เคซีย์ ไมค์และแอนน์ สำหรับคำถามสามข้อ หากทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งก็จะเห็นว่าหมายถึงการมีชีวิตอยู่ของเราทั้งสิ้น เหตุใดคุณจึงมาที่นี่ เหตุใดคุณจึงมาอยู่ที่คาเฟ่แห่งนี้? คาเฟ่ที่มีไว้สำหรับคนที่กำลังหลงทาง ถ้าคุณกำลังรู้สึกแบบนั้น ลองค่อย ๆ ใช้เวลาคิดก่อนว่า เป้าหมายของการมีชีวิต สำหรับตัวเองคืออะไร บางครั้งสาเหตุที่เรารู้สึกหลงทางหรือไม่มีความสุข อาจเกิดจากการที่เราใช้ชีวิตทุกวันไปกับการไหลตามผู้คน สิ่งรอบข้าง เราอาจกำลังทำสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองอยากทำ และ มันค่อย ๆ พาเราออกจากเป้าหมายของการมีชีวิตไปเรื่อย ๆ
ชีวิตหลายคนคงเริ่มต้นด้วยการตั้งใจเรียน เรียนคณะที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ เพื่อจบมาทำงานให้มีเงินเลี้ยงชีพไป แล้วก็รอคอยการได้ไปใช้ชีวิตที่อยากใช้ได้ในสักวันหนึ่งที่เก็บเงินได้เพียงพอ บางคนโชคดีหน่อยก็อาจได้เจอคณะที่ชอบ การงานที่ชอบ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ภายใต้กรอบชีวิตคล้าย ๆ กันอยู่ดี เช่น รอไปใช้ชีวิตเต็มที่หลังเกษียณ แต่ตอนนี้อดทนทำงานไปก่อน
ซึ่งหนังสือเล่มนี้ยกตัวอย่างและตั้งคำถามว่า ทำไมต้องใช้เวลามากมายในการเตรียมตัวจะทำสิ่งที่อยากทำ ในเมื่อสามารถทำมันได้ตั้งแต่วันนี้ สิ่งเล็กน้อย เช่น ไปเที่ยวกับคนรัก ใช้เวลาวันหยุดกับครอบครัว ทำอะไรเพื่องานอดิเรก ความชอบของตัวเอง ถ้าทำได้ก็จงทำเสียตั้งแต่วันนี้ ไม่จำเป็นต้องรอให้เวลาผ่านไปแล้วค่อยทำเลยครับ แต่การจะทำอะไรที่อยากทำนั้น ต้องเป็นสิ่งเราตัดสินว่ามันน่าพึงพอใจเพราะตัวเองตัดสิน ไม่ใช่เพราะคนอื่นมาบอก (เช่น โฆษณา สื่อ ค่านิยมของสังคม เสียงของคนรอบข้าง)
ถัดมาสำหรับคำถาม คุณกลัวตายไหม มีข้อสรุปง่าย ๆ หนึ่งประการ คือ คนเราจะไม่กลัวการไม่มีโอกาสได้ทำบางอย่าง หากเขาเคยทำไปแล้วหรือได้ทำสิ่งนั้นอยู่ทุกวัน หากได้ลองถามตัวเองว่าเรากลัวความตายไหม และเพราะอะไรเราถึงกลัวก็คงจะมีเหตุผลและลิสต์สิ่งที่อยากทำมากมายปรากฏขึ้นมา เมื่อรู้แล้วว่าชีวิตของเราต้องการอะไรก็อย่าลืมดำเนินชีวิตไปโดยไม่ละทิ้งเป้าหมายของตัวเอง และสุดท้ายสำหรับคำถามว่า คุณพึงพอใจกับชีวิตหรือยังก็คงเป็นข้อที่ทำให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเองอย่างแท้จริงว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไรและต้องการสิ่งใดในชีวิต
กล้าที่จะถูกเกลียด
ผู้เขียน : คิชิมิ อิชิโร และ โคะกะ ฟุมิทะเกะ ผู้แปล : ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ
สำนักพิมพ์ : WeLearn
จำนวนหน้า : 320 หน้า
หนังสือแปล ที่เขียนบนหน้าปกไว้ว่าเป็น หนังสือจิตวิทยาที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากญี่ปุ่น กับคำโปรย ‘ค้นพบทางลัดสู่ชีวิตที่ดีขึ้นด้วยเคล็ดลับพัฒนาตนเองที่ถูกเก็บงำมากว่า 100 ปี’ หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยบทสนทนาของชายหนุ่มกับนักปรัชญา ชายหนุ่มไม่เชื่อในแนวคิดที่ว่าโลกใบนี้เรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน สามารถมีความสุขได้ตั้งแต่วันนี้ จึงไปยังบ้านของนักปรัชญาที่ตั้งอยู่แนวชานเมืองโบราณเพื่อตั้งข้อถกเถียง
นักปรัชญาหยิบยก ‘หลักจิตวิทยาของแอดเลอร์’ ขึ้นมาเพื่อพูดคุยกับชายหนุ่ม โดยเป็นจิตวิทยาที่คิดขึ้นจาก Alfred Adler จิตแพทย์ชาวออสเตรเลีย ซึ่งแอดเลอร์ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมจิตวิเคราะห์แห่งเวียนนาของ Sigmund Freud แต่ในท้ายที่สุดมีความเห็นขัดแย้งกันด้านทฤษฎี แอดเลอร์จึงแยกตัวออกมา และนำเสนอทฤษฎีของตัวเองขึ้นมา ชื่อว่า หลักจิตวิทยาแบบปัจเจกบุคคล ตลอดการสนทนาที่ชายหนุ่มมาบ้านของนักปรัชญา เราจะค่อย ๆ ได้เรียนรู้แนวคิดของแอดเลอร์ และเข้าใจว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงตั้งชื่อว่า กล้าที่จะถูกเกลียด
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
โดยข้อคิดสำคัญที่เล่มนี้ให้ เริ่มต้นจากการอย่าเชื่อเรื่องแผลใจครับ หลาย ๆ ครั้งเรามักคิดว่าชีวิตปัจจุบันนี้เป็นผลจากแผลใจหรือความผิดหวังในอดีต แต่แอดเลอร์เชื่อว่าอดีตไม่ได้กำหนดชีวิต ณ ปัจจุบันของเรา มันถูกกำหนดว่าเราให้ความหมายกับเรื่องราวหรือประสบการณ์ครั้งนั้นอย่างไรมากกว่า คนที่จะกำหนดชีวิตในปัจจุบันของเรา ก็คือตัวเราเองในปัจจุบันเท่านั้น
ถัดมาเป็นเรื่องของความทุกข์ของคนเรานั้นมักเกิดจากความสัมพันธ์ เป็นธรรมดาที่เราจะเกิดความทุกข์ใจหรือผิดหวังเมื่อเรายังอยู่ในสังคม อยู่ร่วมกับคนอื่น แต่การปรับเปลี่ยนมุมมองจะช่วยทำให้ดีขึ้นได้ แทนที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่นก็เปรียบกับตัวเองก็พอ ซึ่งคนทุกคนมีภารกิจของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งด้านการงาน ด้านการเข้าสังคม และด้านความรัก บางครั้งพอไม่ได้เป็นไปตามที่หวังจึงเกิดความทุกข์ มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่คนเราหลีกเลี่ยงจากภารกิจเหล่านี้ไม่ได้
และยังมีประเด็นเรื่องการเป็นอิสระอีกด้วยครับ เราต้องตระหนักว่าคนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำตามความคาดหวังของคนอื่น แต่เมื่อไม่ได้ทำตามความคาดหวังของคนอื่นแล้ว บางครั้งย่อมไม่แปลกที่เราจะได้รับความไม่พอใจขึ้นมาบ้าง การใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองมีความสุขนั้นจึงต้องพึ่งพาความกล้าอย่างมาก กล้าที่จะเป็นตัวเอง และไม่ได้ใช้ชีวิตตามที่คนอื่นพึงพอใจ
หลาย ๆ ครั้งปัญหาในชีวิตนั้นเกิดจากการที่ คนเราไม่รู้จักแยกธุระของแต่ละคนออกจากกัน บางครั้งก็เป็นเราเองไปก้าวก่ายธุระของคนอื่น บางทีคนอื่นก็มาก้าวก่ายธุระของเรา จึงเกิดเป็นความทุกข์ใจขึ้น เช่น ถ้าเราเลือกอาชีพที่เราอยากทำแล้ว พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านไม่เห็นชอบด้วย นั่นก็เป็นธุระที่เขาต้องจัดการความรู้สึกตรงนั้นเอง เราได้ทำหน้าที่ของเราไปแล้ว เป็นต้น
ทว่าในความเป็นปัจเจกหลายอย่างที่ได้เรียนรู้จากแนวคิดของแอดเลอร์ ก็มีส่วนที่สอนว่าเรายังเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอยู่ด้วยครับ อย่าคาดหวังแต่ให้คนอื่นมาทำอะไรเพื่อเรา ต้องเป็นเราที่รู้จักจะทำเพื่อคนอื่น ทำเพื่อสังคม เราถึงจะได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนกลับมา
แต่สุดท้ายต้องกล่าวว่าจิตวิทยาทั้งหมดในเล่มนี้ ทีมงาน MenDetails ไม่ได้เห็นด้วยและคล้อยตามทั้งหมด อย่างเช่น ประเด็นเรื่องการห้ามพูดชื่นชมคนอื่นเพราะถือว่าเป็นการมองคนด้วยสถานะไม่เท่ากัน เป็นต้น แนวคิดบางข้อก็มีความสุดโต่งและขัดกับรากฐานแนวคิดเดิมที่เราคุ้นเคยกัน แต่ก็ถือว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เป็นเล่มที่หากทำความเข้าใจอยากลึกซึ้งแล้ว คงจะทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น มองเห็นสังคมในสเกลที่ใหญ่ขึ้น และสามารถดำเนินชีวิตได้โดยรู้สึกทุกข์ใจน้อยลงหลายแง่หลายทีเดียว
The Midnight Library มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน
ผู้เขียน : Matt Haig ผู้แปล : วรรธนา วงษ์ฉัตร
สำนักพิมพ์ : Beat
จำนวนหน้า : 400 หน้า
หนังสือรางวัล Best Fiction แห่งปีจาก Goodreads Choice Awards 2020 กับคำโปรยว่า ‘ห้องสมุดลับที่พร้อมมอบชีวิตใหม่ คุณจะทำอะไรที่ต่างออกไปไหม หากมีโอกาสแก้ไขสิ่งที่เคยเสียใจอีกครั้ง’ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่า หากเราเลือกเส้นทางเดินอื่น ๆ ในชีวิตมันจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ควรอ่านเล่มนี้ครับ
‘นอรา ซีด’ หญิงสาวผู้สิ้นหวังในชีวิตจากการเพิ่งโดนไล่ออกจากงาน สูญเสียแมวที่รัก มีปัญหากับพี่ชาย ประกอบแม่ของลูกศิษย์ที่สอนเล่นเปียโนกำลังจะเลิกจ้าง ได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายลงในวันที่เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอไม่เหลืออะไรและไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย แต่เธอไม่ตายและไปติดอยู่ที่ห้องสมุดเที่ยงคืน สถานที่ระหว่างความเป็นกับความตายที่ซึ่งเธอมีโอกาสเลือกชีวิตแบบอื่น ๆ ได้
เธอได้พบกับ ‘มิสซิสเอล์ม’ ผู้เป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดแห่งนั้น และมิสซิสเอล์มให้นอราได้ดูหนังสือแห่งความเศร้าเสียใจเพื่อที่จะได้ระลึกความทรงจำว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอเคยรู้สึกเสียใจกับเรื่องใดบ้าง เรื่องไหนที่ความเศร้าฝังลึก ตัวหนังสือจะแจ่มชัด เรื่องไหนที่เกือบแล้วไปแล้วตัวหนังสือก็จะขึ้นมาแบบจาง ๆ เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว มิสซิสเอล์มบอกว่านอรามีโอกาสในการเลือกใช้ชีวิตอื่นได้อีกครั้งผ่านหนังสือเล่มต่าง ๆ ทั้งหมดในห้องสมุด โดยหนังสือแต่ละเล่มมีเฉดสีและขนาดที่ไม่เท่ากัน แตกต่างกันออกไปตามเรื่องราวในชีวิตนั้น ๆ และหากพบชีวิตที่รู้สึกว่า ถูกต้อง นี่เป็นที่ของเธอแล้ว เธอจะกลับไปมีชีวิตอยู่ในชีวิตที่เธอได้เลือกเอง แต่ชีวิตที่ดีและไม่ทำให้เธอเสียใจเฉกเช่นชีวิตนี้นั้นมีอยู่จริงหรือไม่? ต้องหาคำตอบด้วยการไปใช้ชีวิตเสียก่อน
*** Spoiler Alert อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในหนังสือ หากเกรงจะเสียอรรถรส กรุณาเลื่อนข้ามครับ
นี่เป็นหนังสือเล่มที่จะทำให้เรา ‘ยอมรับ’ ชีวิตของตัวเองมากขึ้น หากคุณเคยคิดถึงชีวิตตัวเองด้วยคำถาม ‘What if’ ถ้า… ถ้าชีวิตตอนนั้นตัดสินใจอีกแบบ เลือกทางเลือกอีกทางจะเป็นอย่างไร นอราก็เป็นคนหนึ่งที่เกิดคำถามเหล่านี้กับชีวิตตัวเองมาตลอด เธอยอมแพ้และปล่อยมือจากความฝันง่าย ๆ ในวัยเด็กเธอเคยเป็นแชมป์นักว่ายน้ำ แต่พอพ่อของเธอจะให้ฝึกจริงจังเพื่อทุ่มไปโอลิมปิก เธอก็เลิกเสียกลางคัน ในตอนที่เธอร้องเพลงและมีวงดนตรีของตัวเอง กำลังจะไปได้ดี เธอก็กลับตื่นเวทีเสียจนไม่มั่นใจที่จะร้องเพลงอีกต่อไป ในวันที่เธอใกล้จะแต่งงานกับผู้ชายคนที่เลือกแล้วในอีกสองวันข้างหน้า เธอก็ดันขอยกเลิกงานแต่งเสียกลางคัน
ชีวิตพาเธอจนมาถึงจุดที่เธอสิ้นหวังและไม่มีความสุขกับชีวิต ‘ถ้า’ นอราเลือกชีวิตที่ไม่เคยยอมแพ้ในแต่ละเส้นทาง ปัจจุบันของเธอจะเปลี่ยนไปไหม? นอราได้ไปใช้ชีวิตเป็นร้อยรูปแบบ ทั้งชีวิตที่ลำบาก ร่ำรวย เป็นโสด และแต่งงาน ชีวิตที่ยังมีครอบครัวอยู่ ชีวิตที่พวกเขาเหล่านั้นจากไป
และสิ่งที่เราได้เรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนของนอรา คือ ไม่มีชีวิตไหนที่สมบูรณ์แบบ นอราได้พบกับความผิดหวังหรือเสียใจอยู่เสมอ เพียงแต่ต่างเรื่องราวออกไปในแต่ละชีวิต หากได้รับสิ่งหนึ่งมา นอราก็จะเสียอีกสิ่งหนึ่งที่เคยมีไป ชีวิตเป็นเช่นนั้นเสมอ เธอได้ลองทำหลายอาชีพที่เคยฝัน ย้อนไปทุกจุดที่เคยเสียใจ และในที่สุดก็รู้ตัวแล้วว่าเธอไม่อยากตาย เธออยากกลับไปมีชีวิตอีกครั้งในที่ของเธอ หากเธอให้เวลากับตัวเองสักหน่อยชีวิตจะเปลี่ยนไปจากวันที่ตัดสินใจตายไหม นั่นคือสิ่งที่เธออยากเรียนรู้และใช้มันด้วยตัวเอง ไม่มีทางที่เราจะรู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จนกว่าเราจะใช้ชีวิตของเราต่อไป และแม้จะย้อนกลับไปเลือกทางเดินที่ผ่านมาแล้วไม่ได้ แต่ชีวิตต่อจากนี้ในทุกวันเราก็เลือกได้ด้วยตัวเองเสมอ
และนี่คือ 4 หนังสือแปล ที่จะทำให้เราเข้าใจชีวิตตัวเองมากขึ้น เป็นเล่มที่จะทำให้ได้พูดคุยกับตัวเองถึงคุณค่าของชีวิต และเราเห็นว่ามี Core idea ร่วมกันอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนจากทุกเล่ม คือ ชีวิตของเราจะมีความสุขหรือไม่นั้น ตัวเราเป็นคนกำหนดเองเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นยังมีวรรณกรรมแปลฝั่งเอเชียที่เคยแนะนำไปอีกด้วยนะครับ