หนังเรื่องแรกที่เราดูในโรงหนังไม่ได้เริ่มที่ ‘ลิโด้’ และก็จะไม่จบลงที่ ‘ลิโด้’ เช่นเดียวกัน แต่โรงหนังที่ให้ความรู้สึกเหมือนเพลงรักโบราณนั้นมีที่เดียว
ที่นี่มีความทรงจำมากมายหลากหลายเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้เขียนมากครับ ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นเหมือนสถานที่ที่ผู้เขียนไม่กล้าแม้แต่จะย่างก้าวเข้าไปเหยียบเลยก็ว่าได้ ยังไม่นับรวมถึงโรงภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่ชั้นบนของตึกโบราณแห่งนี้ และถ้าที่นี่ยังน่ากลัวในความคิดของผู้อ่านแล้วนั้น ลองนึกภาพโรงภาพยนตร์สยามฯ ดูครับ ครั้นก่อนถูกไฟไหม้จนกลายเป็น SQ1 ณ ปัจจุบัน สิ่งเดียวที่ทำให้เรากล้าเดินไปโรงภาพยนตร์สยามฯ คงจะมีก็แต่ร้านขายหนังสือการ์ตูนห้องเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ตึกเท่านั้นเอง
-Pop Corn ที่ไหนว่าแน่ ต้องมาลองที่นี่ดูสักครั้ง-
จะว่าไป พอนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีตแล้วก็รู้สึกได้ถึงความแก่ที่เข้ามาแทนที่ความเยาว์ครั้งเดินทางไปกับเพื่อนเพื่อเรียนพิเศษที่สยามแสควร์ แล้วพากันไปนั่งเล่นเกมส์ต่อตามตรอกเล็กๆ แถวๆ โรงหนังที่มีชื่อ “ลิโด้” นี่แหละครับ สมัยนั้นความกลัวค่อยๆ เลือนหายไป ความสนุกของการได้ก้าวเข้าไปเล่นเกมส์นั้นเข้ามาแทนที่ เหมือนที่นี่มีมนต์บางอย่างสะกดให้เราวนเวียนกลับมาหาอยู่บ่อยครั้ง และทุกๆ ครั้งที่เลี้ยวเข้าใต้ตึก มันจะให้ความรู้สึกถึง “เพื่อนเก่า” ที่เคยผ่านช่วงเวลาสนุก / เศร้า มาด้วยกัน
พ้นสมัยมัธยมศึกษาและเปลี่ยนมาเรียนที่สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาใกล้สยามแสควร์แห่งหนึ่ง สิ่งที่ผู้เขียนทำอยู่บ่อยครั้งก็คือการเดินตัดสยามแสควร์ไปสู่ระบบขนส่งมวลชนในนาม BTS ซึ่งเกือบทุกครั้ง การเดินทางครั้งนี้มักไปกับเพื่อนเสมอๆ และจะเลือกเดินผ่านใต้ “โรงหนังลิโด้” ยิ่งถ้าวันไหนที่ผู้เขียนพอมีเวลา (ซึ่งมักจะไม่ค่อยมี) จะหยุดเลือกดูร้านขายแผ่นหนัง DVD คุณภาพในราคาถูก จนในที่สุดก็ถึงวันที่ผู้เขียนตัดสินใจก้าวขึ้นไปชั้น 2 และจองตั๋วหนังนั่งดูในโรง 2 (โรงที่ขึ้นชื่อว่า Premium ที่สุดของลิโด้แล้ว)
บุรุษที่สวมเสื้อสูทสีเหลืองสว่างสะอาดตา เราเจอหน้ากันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหมือนเขาจะยิ้มให้เรา อาจเพราะพอจะจำหน้าได้แล้วในที่สุด
ที่นี่มีกลิ่นไอความอบอุ่นอยู่ในทุกอณูครับ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาของคนขายบัตรที่บางครั้งก็มักมีอารมณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก และบางทีก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ตั๋วหนังที่ดูโบราณเป็นพิเศษ แตกต่างจากตั๋วทั่วๆ ไป รวมไปถึงการแจกบัตรสะสมแต้มในทุกครั้งที่ผู้เขียนดูหนัง (ครบ 10 ครั้ง เราจะได้ดูหนังฟรี 1 รอบ) ที่ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน ปัญหาเดียวคือผู้เขียนชอบเลือกพกบัตรสะสมมาด้วย เลยได้บัตรใหม่ทุกครั้งไปนี่สิ
วันนี้เรายังคงมาดูหนังที่โรงหนังลิโด้เช่นเดิมครับ แต่บรรยากาศของวันนี้มันเปลี่ยนไปนิดหน่อย เนื่องจากอีกไม่นาน โรงหนังลิโด้ก็จะปิดตัวลง ทำให้เหล่าผู้ใหญ่นักฉีกตั๋วมือพระกาฬแอบเดินมารวมตัวกันแบบไม่ได้นัดหมายเพื่อถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก หรือแม้แต่ตัวหนังที่ฉายเองนั้นก็ดูจะหมองหม่นเช่นเดียวกัน
นี่คือโรงหนังที่เกาะเกี่ยวกับทรงจำส่วนลึกในใจผู้เขียนไว้มากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอับเบาๆ / สีสันของหลอดนีออนดัดสุดคลาสสิก / ความว่างที่คุณสามารถเลือกที่หนังได้อย่างสบายใจ / ป๊อปคอร์นที่อร่อยที่สุดแต่เค็มนะ / บัตรสะสมที่ไม่เคยได้ดูฟรีสักที สิ่งเหล่านี้คือภาพความทรงจำกับโรงหนัง Stand Alone ที่คิดราคาเพียง 120.- ต่อที่ และมีหนังดีๆ คุณภาพเยี่ยมให้ผู้คนมากหน้าหลายตาเลือกชมได้อย่างไม่ขาดสาย
แม้ว่าโรงหนังลิโด้จะจากไป แต่ความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับโรงหนังแห่งนี้จะยังคงอยู่กับเราเสมอ เหมือนตั๋วหนังที่เราจะไม่มีวันได้ใช้เพื่อดูฟรีอีกต่อไป แต่จะถูกเก็บไว้ในกล่องความทรงจำที่สวยงาม
-แด่ลิโด้ที่รักยิ่ง-