จบลงไปแล้วกับการแข่งขันกีฬาครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติอย่าง โอลิมปิก ที่ในรอบปี 2020 นี้ เจ้าภาพคือประเทศญี่ปุ่น โดยการแข่งขันในครั้งนี้เป็นครั้งที่ไม่เหมือนครั้งไหน ๆ ในประวัติศาสตร์ เนื่องจากการระบาดของ Covid – 19 ทำให้การแข่งขันเลื่อนจากเดิมไป 1 ปี เป็นปี 2021 รวมถึงเรื่องของผู้เข้าชมที่ไม่สามารถเข้าชมได้ ทำให้สีสันและความตื่นเต้นลดน้อยลงไป แต่ถึงอย่างนั้นการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ก็ยังคงมีสิ่งที่น่าประทับใจเกิดขึ้นมากมายทั้งในและนอกสนามเป็น โมเมนท์โอลิมปิก 2020 ที่ MenDetails เลือกหยิบบางส่วนมาบอกเล่าให้อ่านกัน จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลยครับ
การใช้ Soft Power ของญี่ปุ่น
Miltiadis Tentoglou (ซ้าย)กับท่า Gear 2 กับ Kilment Kolesnikov (ขวา) กับท่า Sasageyoที่ลงใน IG ส่วนตัว
ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพลงจากเกมของค่ายญี่ปุ่นต่าง ๆ ในขบวนพาเหรดนักกีฬาในพิธีเปิดที่หลายคนคุ้นหู ไม่ว่าจะเป็นเพลง Victory Fanfare และ Main Theme ของ Final Fantasy, Star Light Zone จาก Sonic the Hedgehog, The Brave New Stage of History จาก SoulCalibur ทำให้เหล่าแฟนเกมต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นเพลงเกมที่ตนชื่นชอบในงานแข่งขันระดับโลก แม้จะน่าเสียดายที่พิธีเปิดมีการเปลี่ยนแปลงโชว์ไปจากเดิมทำให้ไม่สามารถเล่นใหญ่ได้เต็มที่ แต่การได้ยินเพลงเหล่านี้ก็ถือว่าเติมเต็มไม่น้อย หรือในพิธีปิดที่มีการใช้เพลงจากอนิเมชั่นเรื่อง Kimetsu no Yaiba (ดาบพิฆาตอสูร) ก็เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟน ๆ ได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่หลายคนตื่นเต้นกันจริง ๆ ก็คือ ช่วงเวลาในแข่งขันที่มีเหล่านักกีฬาจากประเทศต่าง ๆ แอบทำท่าทางเลียนแบบอนิเมชั่นเรื่องต่าง ๆ ของญี่ปุ่น เช่น Miltiadis Tentoglou นักกีฬากระโดดไกลจากกรีซ ที่มาพร้อมท่า Gear 2 จาก One Piece ก่อนคว้าเหรียญทองไปครอง, Kilment Kolesnikov นักกีฬาว่ายน้ำจากคณะกรรมการโอลิมปิกรัสเซียกับท่า Sasageyo จาก Attack on Titan บน IG ที่เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนคลับอนิเมชั่นเป็นอย่างดี เพราะเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก, ทีมยิมนาสติกสาวจากอุซเบกิสถาน มากับชุดแข่งที่มีลวดลายคล้ายกับชุดของตัวละครจากเรื่อง Sailor Moon และยังใช้เพลงจากเรื่องนี้ในการแข่งขันด้วย หรือจะเป็นนักปั่นทีมชาติอิตาลีในการแข่งประเภททีมเปอร์ซูตชายกับท่าโพสต์ของหน่วยรบพิเศษกีนิวจาก Dragon Ball
รวมไปถึงการใช้เพลงอนิเมชั่นเรื่องต่าง ๆ มาประกอบการแข่งขัน เช่น Kimi ga Suki da to Sakebitai จาก Slam Dunk ในการแข่งบาสเกตบอล, Imagination จาก Haikyuu!! ในการแข่งวอลเลย์บอล เป็นต้น ขนาดเรา ๆ ที่นั่งดูการแข่งยังตื่นเต้นขนาดนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากมีผู้ชมในสนามจริง ๆ บรรยากาศต้องสนุกสนานทั้งนักกีฬาและคนดูยิ่งกว่านี้แน่นอนครับ
เมื่อมารวมกับประเพณีพื้นบ้านผ่านการแสดงทั้งพิธีปิดและพิธีเปิด ถือเป็นการผสมรวมกันทั้งวัฒนธรรมดั้งเดิมกับวัฒนธรรมแบบ Pop culture สร้างความน่าสนใจให้กับญี่ปุ่นไปอีก ทำให้ถึงแม้จะไม่มีคนดู หรือขาดนักท่องเที่ยวช่วงการแข่ง แต่เชื่อว่าด้วยพลังของ Soft Power ที่ญี่ปุ่นแสดงให้โลกเห็นในโอลิมปิกครั้งนี้จะเป็นผลดีกับญี่ปุ่นในระยะยาวอย่างแน่นอน เพราะเมื่อเราสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้แล้วคาดว่าญี่ปุ่นคงจะเป็นจุดหมายปลายทางแรกของใครหลายคนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ
เรื่องราวน่าสนใจจากนักกีฬา
Matty Lee (ขวา) กับ Tom Daley (ซ้าย)
ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ โมเมนท์โอลิมปิก 2020 ที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็นเรื่องราวของนักกีฬาหลาย ๆ คน จากหลาย ๆ ประเภทการแข่ง บางคนสามารถเติมเต็มความฝัน บางคนสร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศ กลายเป็นเรื่องราวน่าประทับใจที่สามารถบอกเล่าต่อไปได้อีกหลายปี ซึ่งเราจะหยิบยกมาบางส่วน
– Matty Lee กับ Tom Daley สองนักกีฬากระโดดน้ำชายจากอังกฤษที่สามารถโค่นแชมป์เก่าจากจีนได้สำเร็จและคว้าเหรียญทองมาครองเป็นครั้งแรก โดย Tom Daley สามารถสานฝันตัวเองได้สำเร็จหลังจากที่แข่งโอลิมปิกมา 4 ครั้ง นอกจากนี้ยังคว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันเดี่ยวมาได้ด้วย ทำให้เขาเป็นนักโดดน้ำจากอังกฤษคนแรกที่เป็นเจ้าของเหรียญโอลิมปิก 4 เหรียญ
– Gianmarco Tamberi จากอิตาลี และ Mutaz Essa Barshim จากการ์ต้า สร้างเรื่องราวความประทับใจในการเป็นเจ้าของเหรียญทองร่วมในการแข่งขันกระโดดสูงชาย หลังทั้งคู่กระโดดสูงเท่ากัน 2.37 เมตร และพยายามจะเอาชนะกันที่ความสูง 2.39 เมตร แต่ไม่มีใครทำสำเร็จ หลังจากพยายามอยู่นานทั้งสองคนก็ตัดสินใจถามกรรมการว่าสามารถมีคนได้เหรียญทองสองคนได้หรือไม่ เมื่อคำตอบ คือ “ได้” เรื่องราวประวัติศาสตร์นี้จึงเกิดขึ้น และยังเป็นการรับเหรียญทองร่วมครั้งแรกนับตั้งแต่การแข่งขันโอลิมปิกปี 1912 หรือเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว
– Anna Kiesenhofer นักปั่นม้ามืดจากออสเตรีย ที่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขันจักรยานทางไกลเหรียญประเภทบุคคล นับว่าเป็นม้ามืดเพราะเธอมาแข่งแบบตัวคนเดียวไม่มีโค้ชซ้อม มีแค่ใจรักในการปั่น เพราะอาชีพจริง ๆ ของเธอนั้น คือ อาจารย์มหาวิทยาลัย โดยเธอปั่นไม่หยุดตั้งแต่ออกเริ่ม จนนำห่างนักปั่นจากทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ตีตื้นขึ้นมาเป็นที่ 2 ในช่วงท้าย แต่เพราะระยะที่ห่างกันมากทำให้เหล่าสาว ๆ จากเนเธอร์แลนด์ไม่รู้เลยว่ามีคนนำอยู่ 1 คน จนถึงตอนเข้าเส้นชัย นอกจากนี้ชัยชนะของ Anna Kiesenhofer ยังสร้างประวัติศาสตร์การคว้าเหรียญทองในการแข่งจักรยานครั้งแรกของออสเตรียนับตั้งแต่เหรียญทองของ Adolf Schmal ในการแข่งโอลิมปิกปี 1896 อีกด้วย
– ฝั่งฟุตบอลชายก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะในครั้งนี้ทีมนักเตะจากบราซิลสามารถป้องกันแชมป์เหรียญทองได้เป็นสมัยที่ 2 และยังทำให้ Dani Alves นักเตะชื่อดังที่ตอนนี้ค้าแข้งอยู่กับทีม São Paulo FC ในลีคบ้านเกิด กลายเป็นนักเตะที่มีรางวัลรวมทุกรายการเยอะที่สุดในโลก มากกว่าโรนัลโด้ หรือ เมสซี่ โดยมีรางวัลรวมกัน 43 รางวัล
Photo from: olympics.com
– ในการแข่งขันโอลิมปิก 2020 มีหลายชาติที่สร้างประวัติศาสตร์ได้ฟังเพลงชาติเองในการรับเหรียญรางวัลครั้งแรกหลังจากที่ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันมาหลายครั้ง แต่เหนือกว่าการได้รับเหรียญครั้งแรก คือ การได้รับเหรียญทองครั้งแรกครับ มีทั้งประเทศฟิลิปปินส์ที่คว้าเหรียญทองเป็นครั้งแรกของชาติในกีฬายกน้ำหนักหญิงด้วยฝีมือของ Hidilyn Diaz หลังจากส่งนักกีฬาเข้าแข่งมาเกือบศตวรรษ หรือจะเป็นประเทศเบอร์มิวด้า ประเทศเกาะเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ ที่คว้าเหรียญทองในการแข่งขันไตรกีฬาหญิง จากฝีมือของ Flora Duffy
เหรียญทองของนักกีฬาไทย จากเทควันโดหญิง
ข้อนี้เป็นโมเมนท์ประทับใจของไทยกันบ้าง เพราะในโอลิมปิก 2020 นี้ ไทยเราก็ได้เหรียญทองมาสะสมเพิ่มอีก 1 เหรียญจากกีฬาเทควันโดหญิงรุ่นน้ำหนัก 49 กก. หญิง ด้วยฝีมือของ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ หรือหลายคนคุ้นเคยในชื่อเล่น “เทนนิส” หลังจากเอาชนะคู่แข่งจากสเปนไปอย่างสุดมันใน 7 วินาทีสุดท้าย คว้าเหรียญทองมาครองสำเร็จหลังจากผิดหวังในการแข่งโอลิมปิก 2016 นี่ยังเป็นเหรียญรางวัลสุดท้ายที่ยังไม่ได้ในฐานะมือ 1 ของโลกที่ไปกวาดรางวัลมาทุกการแข่งขันใหญ่ ๆ ทำให้เธอเป็นนักกีฬาไทยคนที่ 10 ที่ได้เหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกครับ
การได้เหรียญทองในเทควันโดครั้งนี้ ยังเป็นการสร้างประวัติศาสตร์เหรียญทองใหม่ให้กับประเทศไทยด้วย เพราะไทยไม่เคยได้เหรียญทองในกีฬาเทควันโดหญิงมาก่อน ได้แต่เหรียญทองแดงกับเงินมาหลายครั้ง จนมาทำสำเร็จในโอลิมปิก 2020
แต่เส้นทางของน้องเทนนิสไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะความผิดหวังในโอลิมปิกครั้งก่อนทำให้เกิดแผลใจครั้งใหญ่ แต่เธอก็สามารถก้าวข้ามมันมาได้และกลับมาอย่างมั่นใจการแข่งที่โตเกียวครั้งนี้ เอาชนะคู่แข่งขาดลอยไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศที่เธอต้องเจอกับ Adriana Cerezo Iglesias สาวน้อยวัย 17 จากสเปนที่ฝีมือร้ายกาจไม่แพ้กัน ก่อนที่ใน 7 วินาทีสุดท้ายที่น้องเทนนิสถูกนำอยู่ 9 – 10 เธอเตะกลับมาทำคะแนนพลิกล็อกเป็น 11 – 10 ชนะไปพร้อมกับเสียงเฮของแฟนกีฬาชาวไทย
ส่วน Adriana Cerezo Iglesias แม้จะได้เหรียญเงินอย่างน่าเสียดาย แต่ในตอนนี้เธอกำลังถูกจับตามองในฐานะดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการครับ ในการแข่งครั้งหน้าเราก็ขอเอาใจช่วยเธอให้สานฝันตัวเองให้ได้
การแสดงความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยี และการไม่ยอมแพ้ของญี่ปุ่น
Photo from: olympics.com
นอกจาก Soft Power แล้ว อีกสิ่งที่ญี่ปุ่นขึ้นชื่อก็คือเรื่องของเทคโนโลยี ที่แม้ในการแข่งขันครั้งนี้จะทำให้ไม่มีคนเข้าชมทำให้หลาย ๆ อย่างที่เตรียมกันมาต้องถูกพับเก็บไป แต่ญี่ปุ่นก็ไม่พลาดในการนำเทคโนโลยีเจ๋ง ๆ ของตัวเองมาใช้ในพิธีเปิด – ปิด ให้ทุกคนได้รับชมกัน
ในพิธีเปิดเราได้เห็นการแสดงบินโดรนกว่า 2000 ตัวในการแปรขบวนเป็นรูปโลกประกอบเพลง Imagine ของจอห์น เลนนอน แม้จะดูเรียบง่ายแต่สร้างความประทับใจและความหวังในช่วงสถานการณ์โลกเช่นนี้ และโดรนกว่า 2000 ตัวนั้น ก็ไม่ได้ควบคุมกันง่าย ๆ เลย
แต่ส่วนที่ทำให้คนชื่นชมกันมากที่สุด คือการแสดงในพิธีปิดครับ มีการแสดงละอองแสงตระการตาที่รวมเป็นสัญลักษณ์โอลิมปิก สร้างความประทับใจและเสียงฮือฮาให้กับผู้ชมทางบ้าน แต่น่าเสียดายที่โชว์ดังกล่าวออกแบบมาให้ผู้ชมทางบ้านเท่านั้น ในสนามจริงนั้นผู้เข้าร่วมพิธีปิดมองไม่เห็นครับ ทำให้น่าสนใจว่าหากเปิดให้มีผู้เข้าชมตามปกติ การแสดงพิธีปิดน่าจะออกมาอลังการกว่านี้แน่นอน
ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องพูดถึงความไม่ยอมแพ้ในการจัดการแข่งขันโอลิมปิกของญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล หรือปัญหาด่าง ๆ นานา ก็ยังคงจัดออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี และยังเป็นการสร้างความหวัง กำลังใจ รวมถึงแสดงออกเรื่องสันติและความเท่าเทียมผ่านพิธีเปิด – ปิด ไปตลอดจนถึงการแข่งขัน รวมถึงยังทำให้เราเฝ้ารอเมื่อโลกกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม เรียบง่าย แต่ซึ้งกินใจ นอกจากนี้สิ่งที่ยังทำให้คนทั่วโลกเฝ้ารอคอยโลกที่ดีขึ้น คือ โอลิมปิก 2024 ครับ
การส่งไม้ต่อให้ฝรั่งเศส ความหวังในสถานการณ์โลกที่ดีขึ้นของมวลมนุษยชาติ
Photo from: Reuters/Benoit Tessier
หลังจากให้ความหวังกับคนทั่วโลกแล้ว การส่งไม้ต่อให้กับฝรั่งเศสที่ถ่ายทอดสดการรับช่วงต่อจากกรุง Paris เจ้าภาพจัดโอลิมปิก 2024 และยังเป็นการครบรอบ 100 ปีที่ Paris ได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกหลังจากที่เป็นเจ้าภาพในปี 1924
ฝรั่งเศสที่สถานการณ์โควิดในประเทศดีขึ้น จัดการถ่ายทอดสดต้อนรับธงโอลิมปิกและเป็นสัญลักษณ์การส่งไม้ต่ออย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการรวมตัวกันของประชาชนหน้าหอไอเฟลสัญลักษณ์ของกรุง Paris และทำการเชิญธงโอลิมปิก 2024 ขึ้นหอไอเฟลด้วย
นอกจากการรวมตัวกันต้อนรับการส่งไม้ต่อแล้วยังมีการแสดงของฝูงบิน The Patrouille Acrobatique de France ที่เป็นหนึ่งในฝูงบินผาดโผนที่เก่าแก่ที่สุดของโลกที่ปล่อยควันเป็นลายธงชาติฝรั่งเศส รวมถึงวิดีโอแสดง Landmark ต่าง ๆ ของ Paris และจบลงที่การเป่าแซ็กโซโฟนเพลงชาติจาก Thomas Pesquet นักบินอวกาศชาวฝรั่งเศส
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการจัดโอลิมปิกในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมกับ Concept ใหม่ ๆ ที่ไม่เหมือนใคร ทั้งการออกแบบเหรียญรางวัลโอลิมปิกให้สามารถแบ่งได้เป็น 4 เหรียญเพื่อให้นักกีฬาไปมอบให้กับคนที่มีส่วนสำคัญในความสำเร็จหรือการจัดการแข่งในสนามที่มีอยู่แล้วเพื่อลดงบประมาณ และยังเป็นการสร้างความหวังให้กับมวลมนุษยชาติว่าอีก 3 ปีข้างหน้าทุกอย่างจะดีขึ้น และการจัดโอลิมปิก 2024 จะต้องยิ่งใหญ่
ปฏิเสธไม่ได้ว่า โมเมนท์โอลิมปิก 2020 เหล่านี้ ทำให้เราได้เห็นถึงความตั้งใจ ทุ่มเท เป็นแรงบันดาลใจไปจนถึงความหวังในอนาคตของทุกคนที่ญี่ปุ่นพยายามสื่อสารออกมาท่ามกลางสถานการณ์โลกเช่นนี้ และการที่เรายังมีการแข่งขันโอลิมปิกที่ Paris ในปี 2024 ให้เฝ้าคอย
แม้จะไม่มีผู้เข้าชมในสนาม แต่โตเกียว โอลิมปิกครั้งนี้ จะเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่เป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์ และทำให้ใครหลายคนอยากไปเยือนญี่ปุ่นไม่มากก็น้อยครับ MenDetails เอง ก็เฝ้ารอวันที่สามารถไปเยือนญี่ปุ่นได้อีกครั้ง รวมถึงเฝ้ารอคอยโอลิมปิกใน 3 ปีข้างหน้าด้วยเช่นกันครับ