หลังจากใน Part 1 เราตะลอนอยู่ในดานัง ในทริป เที่ยวเวียดนาม ดานัง – ฮอยอัน Part 2 ของเราครั้งนี้ ก็ถึงเวลาที่เราจะมุ่งหน้าออกเดินทางจากดานัง ไปยังฮอยอัน อดีตเมืองค้าขายที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นอายเมืองเก่าที่คนในเมืองรักษาและอนุรักษ์ไว้ แตกต่างไปจากดานังที่เป็นเมืองใหญ่
ในฮอยอันนี้มีกิจกรรมทั้งสิ่งก่อสร้างและอาหารการกินที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน และ MenDetails ก็ได้เก็บเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราได้พบเจอมาฝากเป็นแนวทางสำหรับใครที่วางแผนจะไปเยือนฮอยอันครับ
แวะลงเรือกระด้ง
ต่อจากใน Part 1 หลังจากที่เราลงมาจาก Ba Na Hill ช่วงราว ๆ บ่ายสอง เราก็ให้พี่ฟางขับรถออกจากดานังเลย เพื่อมุ่งหน้าให้ถึงฮอยอันช่วงเย็น โดยใช้เวลาเดินทางราว ๆ 1 ชั่วโมง สองข้างทางเป็นทุ่งนาให้ชมวิวสวย ๆ กับบ้านเรือนของชาวบ้าน แต่ระหว่างทางเราก็มีแผนในใจที่จะไปลงเรือกระด้ง (thung chai) ที่หมู่บ้าน Cam Thanh
หมู่บ้าน Cam Thanh อยู่ระหว่างทางไปฮอยอันและเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงเรื่องของเรือกระด้ง ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติและกรุ๊ปทัวร์ไทยต่างพากันมาที่นี่ ซึ่งจุดขึ้นเรือนั้นมีอยู่หลายจุดแต่จะมารวมกันที่แม่น้ำสายหลักทั้งหมด นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมีการท่องเที่ยวแบบ Eco Tour ให้เหล่าผู้ที่สนใจมาใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้าน ได้เรียนรู้วิถีชีวิตและทำอาหารท้องถิ่นด้วย จุดที่พี่ฟางพาลัดเลาะมาเป็นจุดขึ้นเรือเล็ก ๆ ที่คนไม่เยอะ ซึ่งพี่ฟางบอกกับเราว่าที่นี่ราคาค่าขึ้นจะถูกกว่าเพราะพี่ฟางเขาพาลูกค้าคนไทยมาขึ้นบ่อย ๆ ทำให้เราไม่ต้องไปเบียดเสียดกับเหล่ากรุ๊ปทัวร์อื่น ๆ
เรือกระด้งนั้นนับได้ว่าผูกพันกับชาวบ้านที่ติดแม่น้ำและชายฝั่งของคนเวียดนามมาก เกิดจากการสานไม้ไผ่เข้าด้วยกันแล้วเคลือบด้วยน้ำมันสนให้น้ำไม่เข้า ด้วยขนาดที่เล็กและเป็นวงกลมทำให้มีความคล่องตัวในการลัดเลาะไปตามแม่น้ำสายเล็ก ใช้สำหรับขนคนและขนส่งสินค้า รวมถึงยังเป็นเรือชูชีพเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ใช้ชีวิตติดกับสายน้ำที่เกิดขึ้นในช่วงฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคมและเก็บภาษีเรือ ทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีเงินคิดค้นเรือกระด้งขึ้นมาเพื่อเลี่ยงภาษี เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ได้มันสามารถรับน้ำหนักเป็นร้อย ๆ กิโลกรัมเลยครับ
หลังจากที่คนพายพาเราออกมายังแม่น้ำสายหลักก็จะพบเจอกับกรุ๊ปอื่น ๆ ที่พายเรือมารวมกัน ที่นี่จะมีการโชว์หมุนเรือโดยนักพายผู้เชี่ยวชาญ พร้อมกับเปิดเพลงที่มีหลากหลายภาษาประกอบ ทั้งเพลงไทย เพลงเกาหลี เพลงญี่ปุ่น เพลงเวียดนามปนกันมั่วไปหมด แต่ก็เป็นการแสดงที่สนุกดีครับ ถ้าใครอยากให้เขาควงเรือที่นั่งก็บอกเขาได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีร้องคาราโอเกะกลางน้ำอีก นักร้องที่เป็นชาวบ้านเวียดนามร้องเพลงหญิงลีได้คล่องมาก ๆ จนนึกว่าคนไทยมาร้องเอง แล้วเขาก็จะชวนสาว ๆ ขึ้นไปเต้นบนเรือคาราโอเกะ เราเห็นทั้งสาวจากกรุ๊ปทัวร์ไทย สาวสวยชาวเวียดนาม และนักท่องเที่ยว Backpacker สาวฝรั่งผมทองได้ขึ้นไปวาดลวดลายการเต้น
สีสันตลาดกลางคืนของฮอยอัน
หลังขึ้นเรือกระด้งเสร็จ เราเดินทางมาถึงฮอยอันช่วงเย็น เข้าพักผ่อนในโรงแรมก่อนที่จะออกไปสัมผัสความคึกคักของตลาดกลางคืนของเมืองนี้
พอสักเกือบหกโมงเย็นเราก็ออกจากโรงแรมที่พัก เดินออกมาจากซอยที่พักของเราที่อยู่ไม่ไกลนัก เดินไม่กี่นาทีก็พบกับผู้คน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวตะวันตกกับคนเกาหลีและญี่ปุ่น เพราะทัวร์ไทยมักจะไม่ค้างคืนที่นี่เนื่องจากกฎหมายจำกัดขนาดรถทำให้ไม่ค่อยเห็นคนไทยในช่วงกลางคืนครับ (อาจมีบ้าง เพราะเราเจอตอนกินข้าว แต่ไม่เยอะแน่นอน จะเป็นพวกมาเองเหมือนกับพวกเรานี่แหละ)
นอกจากร้านแผงลอยที่มาตั้งอยู่กลางถนนแล้ว ร้านอาหาร ร้านนวดที่เป็นห้องแถวต่าง ๆ ก็ต่างส่งเสียงเรียกลูกค้าอย่างคึกคัก โดยเฉพาะริมแม่น้ำ Thu Bon ที่เป็นไฮไลท์นั้นคนจะเยอะเป็นพิเศษ ทุกคนต่างมาถ่ายรูปโคมไฟหลากสีสัน หรือถ้าใครอยากลงเรือล่องแม่น้ำไปลอยโคมก็ทำได้ เหล่าแม่ค้าพร้อมจะกระโจนเข้าหาคุณเพื่อชวนคนลงเรืออยู่แล้ว ถ้าใครไม่อยากลงต้องใจแข็งไว้ครับ ที่สำคัญเวลาซื้อของที่เขาเดิน ๆ ขาย หรือพวกโคมลอย เขาจะตั้งราคาไว้สูงเกินจริง ต้องต่อราคานะครับ อย่าเผลอไปจ่ายราคาแรกที่เขาบอกมาเชียว นี่รวมไปถึงพวกมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่อ้างตัวว่าเป็น Grab ก็เช่นกันครับ
นอกจากเดินเล่นชมบรรยากาศและความคึกคักของตลาดกลางคืนแล้ว ตรงสะพานญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้ ๆ ตอนกลางคืนก็เปิดไฟสวยครับ และตรงลานใกล้ ๆ เขาจะมีเล่นกิจกรรมกันเป็นเกมพื้นบ้านเก่าแก่เรียกว่า Bai choi ที่มีพิธีกรชาวเวียดนามดำเนินการ แต่คนร่วมเล่นจะเป็นคนท้องถิ่นกับต่างชาติผสม ๆ กัน แม้เราจะไม่มีเวลาร่วมเล่นแต่ก็เห็นว่าสนุกสนานทีเดียว เพลงที่ร้องเห็นว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับเวียดนามทั้งในเรื่องความรักชาติ ธรรมชาติ ไปจนถึงผู้คน ตำนานเรื่องเล่า
ตลาดกลางคืนคนเริ่มซาตอนสองทุ่มนิด ๆ และพอสามทุ่มตลาดก็วายเป็นที่เรียบร้อย ใครที่ยังอยากสัมผัสชีวิตยามดึกต่อจากนี้ก็ต้องไปนั่งตามบาร์เหล้าครับ ใน Hoi an มีหลายร้านเลยที่อยู่ใกล้ตลาดกลางคืน ถ้ามากับเพื่อนก็สามารถไปนั่งคุยสบาย ๆ กันได้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้คุยกับชาวต่างชาติโต๊ะใกล้ ๆ จนชวนกันไปดื่มต่อจนดึกดื่นแบบที่เราพบเจอกลุ่มนักเดินทางจากเนเธอร์แลนด์เกิดเป็นมิตรภาพดี ๆ ก็เป็นได้ หรือถ้าโชคดี เราอาจจะได้เจอกับคนรู้ใจเป็นคนต่างชาติก็ได้นะครับ
Bale Well ร้านดัง ที่ยังไงก็ต้องมา
นอกจากเดินชมเมืองและร้านรวงในตลาดกลางคืนแล้ว เราต้องหาข้าวเย็นกินด้วยเช่นกัน และเมื่อมาถึงฮอยอันจะไม่ไปฝากท้องที่ร้าน Bale Well สักมื้อก็คงไม่ได้ เพราะนี่เป็นหนึ่งในร้านดังของเขตเมืองเก่า ที่ขายอาหารเวียดนามพื้นเมือง
เมื่อมาถึงร้านและได้ที่นั่ง พนักงานก็เดินมาบอกว่าเมนูของร้านมีแค่เมนูเดียว แต่จะมีปริมาณขึ้นอยู่กับจำนวนคน และใน Set อาหารมีของหวานให้ด้วยแล้ว เราแค่เลือกว่าจะดื่มอะไร หรือจะสั่ง Cao Lau เพิ่มด้วยหรือไม่ หลังจากสั่งเรียบร้อย พนักงานก็จะนำอาหารมาวางประกอบไปด้วย สะเต๊ะหมู หมูเสียบตะไคร้ย่าง (Nem lui) ขนมเบื้องญวน และเป๊าะเปี๊ยะทอดไส้กุ้งที่ใช้แผ่นแป้งข้าวเจ้าของเวียดนามทอดทำให้เนื้อแป้งบาง พร้อมจัดแจงวางเครื่องเคียงและน้ำจิ้ม พร้อมกับสอนวิธีกิน และเราต้องสารภาพว่าเพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจ และกำลังหิว จึงลงมือกินอย่างรวดเร็ว จนไม่ทันได่ถ่ายรูปเลยครับ
อย่างที่เคยเขียนไปใน Part ที่แล้ว ว่าวิธีกินของเขาเป็น Culture shock สำหรับเราหรือคนไทยที่คุ้นเคยกับการกินอาหารเวียดนามในบ้านเรา เพราะเขาจะเอาทุกอย่างมาห่อด้วยแผ่นแป้งข้าวเจ้าทั้งหมด เริ่มตั้งแต่เป๊าะเปี๊ยะที่ก็เป็นแป้งอยู่แล้ว หมูย่างที่ต้องรูดเอาไม้ออก วางผักสด ผักดอง ห่อ แล้วจิ้มน้ำจิ้มกิน ตัวน้ำจิ้มถ้าชอบเผ็ดก็ใส่น้ำพริกของเขาเพิ่มได้ แต่ก็รสไม่จัดมากนัก เราห่อยังไงก็ได้ออกมาเป็นชิ้นบวม ๆ แต่แอบเห็นสาวเวียดนามโต๊ะข้าง ๆ ห่ออย่างคล่องแคล่วก็อดชื่นชมไม่ได้ครับ
พนักงานที่นี่ก็อัธยาศัยดี เดินผ่านก็ถามว่าอาหารอร่อยไหม รับผักเพิ่มไหม เป็นระยะ ๆ คอยบริการทุกโต๊ะอย่างใส่ใจพร้อมรอยยิ้มและความสุข มีคุยเล่นกับเราบ้างเช่นกัน ที่สำคัญคือไม่รู้เขาคำนวณยังไงแต่เขากะปริมาณอาหารกับจำนวนคนได้พอดีเป๊ะ ขนาดเราที่ว่ากินเยอะเห็นแล้วนึกว่าจะไม่อิ่ม แต่พอกินหมดก็อิ่มโดยพร้อมเพรียง ปิดท้ายด้วยขนมหวานซึ่งมีตามจำนวนคนแต่สุ่ม ๆ มา ทั้งพุดดิ้งมะม่วง มูสชอคโกแลต
เดินเที่ยวเมืองเก่า วิถีชีวิตช่วงกลางวันของชาวเมือง
หลังนอนหลับพักผ่อนอย่างมีความสุข ในวันที่ 3 ที่เป็นวันสุดท้ายของทริป เที่ยวเวียดนาม ครั้งนี้ ก่อนที่พี่ฟางจะมารับเรากลับดานังเพื่อขึ้นเครื่องตอนเย็น หลังมื้อเช้าเราก็ถือโอกาสเดินชมเมืองฮอยอันช่วงกลางวันกันบ้าง โดยเน้นไปที่พวกอาคารเก่าที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์
แม้เมืองฮอยอันจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินได้อย่างอิสระ แต่หากใครจะเข้าชมอาคารเก่าต่าง ๆ จะต้องมี “ตั๋ว” ที่ซื้อได้จากจุดขายที่กระจายอยู่ทุกมุมของเมือง ตั๋วหนึ่งใบจะสามารถเลือกเข้าสถานที่ได้ 5 ที่ แม้อาจจะไม่ครบทุกจุดแต่ก็ถือว่ามากพอที่จะทำให้เราเห็นประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองนี้
จุดที่เราเข้าจะเป็นบ้านเก่ากับพวกหอประชุมของชาวจีนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ในอดีต ซึ่งหากสังเกตดูการออกแบบอาคารเก่าของที่นี่จะมีกลิ่นอายความเป็นจีนสูงมาก เพราะว่าที่นี่เดิมเป็นเมืองค้าขายและมีเรือเข้ามาทำการค้าขายจำนวนมาก เมื่อมีชาวจีนอพยพมายังเวียดนามก็มักจะเข้ามาที่ฮอยอันทำให้ชาวจีนจากหลายพื้นที่ลงหลักปักฐานที่นี่กลายเป็นคนเวียดนามไปในที่สุด แต่พวกเขาก็ยังคงวัฒนธรรมดั้งเดิมติดมาด้วย พวกหอประชุมเหล่านี้นอกจากจะเป็นที่พบเจอกันแล้ว ยังเป็นที่สอนหนังสือการอ่านเขียนให้กับเด็ก ๆ ในสมัยก่อนด้วย และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกรูปปั้นเทพเจ้า พระพุทธรูปตามแบบของนิกายจีนให้มาสักการะ หลายที่ที่เราเข้าไปพอเขาเห็นเราเป็นคนไทยที่นับถือพุทธเหมือน ๆ กัน เขาก็เปิดทางกั้นให้เราเข้าไปไหว้พระใกล้ ๆ ด้วยครับ พวกของตกแต่งต่าง ๆ เป็นของเก่าที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ที่ทางเมืองฮอยอันพยายามรักษาไว้
นอกจากอาคารเก่า พวกร้านค้าขายของและร้านกาแฟ ร้านขนมก็เปิดให้เข้าไปนั่งพักผ่อนและเลือกซื้อสินค้าเช่นกันครับ เรามีโอกาสได้ลองขนมหวานท้องถิ่นเวียดนามด้วย จะเป็นพวกของเชื่อมคล้าย ๆ บ้านเรา เย็นชื่นใจดีครับ และไหน ๆ มาเดินแล้ว เราขอแนะนำให้ไปซื้อแซนด์วิชเวียดนาม (Bánh mì) ที่ร้าน Bánh Mì Phượng ด้วยครับ จะได้มาไม่เสียเที่ยว เพราะนี่คือร้าน Bánh Mì อันโด่งดังของฮอยอันที่ได้ชื่อว่าเป็น Bánh Mì ที่อร่อยที่สุดในโลก การันตีโดยเชฟ Anthony Bourdain เชฟชื่อดังชาวอเมริกันที่มาถ่ายทำรายการที่ร้านนี้ ตัวร้านจะไม่ใหญ่แต่หาง่ายเพราะคนแน่นร้านทั้งคนที่นั่งกินที่ร้านและซื้อกลับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกชาวตะวันตกซะเยอะ เมนูในร้านมีไส้มากมายจนเลือกไม่ถูก ทั้งไส้แบบดั้งเดิมไปจนถึงไส้แบบตะวันตกอย่างทูน่า พนักงานร้านเห็นเรางงเลยแนะนำเมนู Signature ใส่ไส้แบบเวียดนามดั้งเดิม ตัวแซนด์วิชค่อนข้างยาว เนื้อขนมปังกรอบนอกนุ่มใน กับไส้หลากหลายที่ยัดมาจนทะลักกินได้เพลิน ๆ จนหมดเลยครับ
Com Ga “ข้าวมันไก่เวียดนาม” มื้อสุดท้ายก่อนกลับไทย
สำหรับมื้อเที่ยงที่เป็นมื้อสุดท้ายของเราในทริปนี้ เดิมเราไม่มีแผนอะไร กะว่าจะหาร้านไหนดัง ๆ สักร้านกิน แต่วันก่อนที่พี่ฟางมาส่งเราที่ฮอยอัน เขาแนะนำว่าให้ลอง Com Ga หรือ “ข้าวมันไก่เวียดนาม” ดู เราที่ไม่ได้สนใจอาหารจานนี้มาก่อนจึงต้องลองหาร้านกิน ในฮอยอันมีร้าน Com Ga เยอะมาก ๆ ตั้งแต่ร้านแผงลอยที่เราเห็นตอนคืนก่อน หรือร้านแบบเป็นห้องแถวขายช่วงกลางวัน
ร้านที่ดังที่สุดของฮอยอันชื่อ Com Ga Nga ที่ขายมา 30 กว่าปีและเปิดสาขาสองในกรุงฮานอย แต่พี่ฟางแนะนำร้านอีกร้าน ชื่อ Cơm Gà Bà Buội มาให้ พี่ฟางบอกกับเราว่าร้านนี้ก็เป็นที่นิยมของคนท้องถิ่น ราคาไม่แพง และอร่อยพอ ๆ กับ Com Ga Nga ตัวร้านอยู่ในถนนเส้นเดียวกับ Bánh Mì Phượng เดินย้อนกลับมาผ่านสี่แยกไม่นานก็จะเห็นชื่อร้านครับ จริง ๆ ถนนเส้นนี้มีร้านข้าวมันไก่เวียดนามเต็มไปหมดเลยทั้งร้านเก่าแก่และร้านเปิดใหม่
เมื่อมานั่งในร้าน เราก็สั่ง Com Ga มาครบคน (พนักงานร้านพอพูดอังกฤษได้บ้าง และพอเห็นเราเป็นคนไทยเขาก็พูดว่าข้าวมันไก่ออกมาเป็นการถามว่าเราจะสั่งกี่ที่) และสั่งเครื่องในไก่มาเป็นร้านรวม มีทั้งเลือด กึ๋น ไข่อ่อนและอีกมากมาย เขาต้มมาและมีรสชาติในตัวอยู่แล้ว
ข้าวมันไก่เวียดนามตัวไก่จะมาเป็นไก่ฉีก ๆ ไม่ได้เป็นชิ้น ๆ แบบบ้านเรา ในจานจะมีผักต่าง ๆ โดยเฉพาะหัวหอมตามแบบฉบับเวียดนามมาด้วยเลย ตัวข้าวมีรสอยู่แล้วนิดหน่อย เราราดน้ำจิ้มที่เขาให้มา ใครจะใส่ซอสพริก พริกและกระเทียมสด หรือซอสถั่วเหลือเพิ่มก็ตามความชอบ เราสั่งเครื่องในมาด้วย ก็ตักเครื่องในใส่ในจานข้าว เสร็จแล้วจะกินเป็นคำ ๆ เลือกกินของในจานผสม ๆ กันเพื่อให้รสชาติที่หลากหลาย หรือจะคลุกเคล้าให้รสชาติเข้ากันคล้ายข้าวยำก็ได้เช่นกัน เพราะเราเห็นครอบครัวชาวเวียดนามครอบครัวใหญ่ที่มานั่งโต๊ะข้าง ๆ บางคนก็คลุกบางคนก็ไม่ พี่ฟางบอกเราเหมือนกันว่าคนไทยหลายคนที่เขาแนะนำให้กินบอกว่ามันเหมือนข้าวยำ ซึ่งพอเราได้ลองคลุกเคล้าดู มันก็คล้ายข้าวยำจริง ๆ ครับ มีเผ็ดนิด หวานหน่อย แล้วก็เค็ม เป็นรสชาติที่อธิบายค่อนข้างยาก แต่เราประทับใจมากครับ
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ เราก็กลับไปโรงแรมตามเวลาที่นัดกับพี่ฟางเพื่อเดินทางกลับดานังไปขึ้นเครื่องบินกลับไทย เป็นการสิ้นสุดทริป เที่ยวเวียดนาม สั้น ๆ 3 วัน 2 คืน แต่อัดแน่นด้วยสถานที่เที่ยวและที่กินมากมาย
แม้ในทริปนี้เราไม่มีเวลาไปเว้ และเมืองโบราณหมีเซินที่อยู่ไกลออกไป เป็นเรื่องที่เรารู้สึกเสียดายอย่างมาก แต่เราก็ตั้งใจว่าในอนาคตเราจะกลับมาที่นี่เพื่อมาเก็บสถานที่ที่เราไม่มีเวลาไปอีกครั้งแน่นอนครับ หากเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศที่ไหนอีก จะกลับมาเล่าสู่กันฟังนะครับ เป็นแนวทางเผื่อใครอยากจะเดินทางไปด้วยตัวเองที่ทำให้เราเห็นอะไรใหม่ ๆ และได้สัมผัสกับคนท้องถิ่นมากกว่าการไปกับทัวร์