ปฏิเสธไม่ได้ว่านาทีนี้ วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) ดาราชาวอเมริกันวัย 44 ปี คือนักแสดงที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในโลก หลังจากที่ Joker ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาที่เป็นแนวอาชญากรรมดราม่าทริลเลอร์ ทำรายได้ถล่มทลาย ในระดับที่มีคนเอาไปเทียบกับหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลอย่าง Avengers: Endgame ว่า หากนับจากต้นทุนการผลิต ตอนนี้ Joker ทำกำไรมากกว่า Avengers: Endgame ไปแล้ว
ขณะที่ด้านเสียงวิจารณ์ แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายกังวลเรื่องเนื้อหาที่มืดมนแบบดำดิ่ง โดยเฉพาะในช่วงท้าย ที่ทำเอาคนดูหลายคนเศร้าจิตตก จนตำรวจสหรัฐฯต้องแนะนำว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าไม่ควรดู Joker ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางอารมณ์ที่สุดของ Joaquin Phoenix ที่ถ่ายทอดเอาความรู้สึกของการเป็นคนชายขอบของตัวละคร โจ๊กเกอร์ ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ เข้าถึงบทบาท จนหลายคนเชื่อว่า รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในช่วงต้นปีหน้า น่าจะมีชื่อของ วาคีน ฟีนิกซ์ ว่าแล้วก็มาทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นกันดีกว่า
เกิดมาพร้อมปากแหว่ง เคยใช้ชื่อ ลีฟ ฟีนิกซ์ และการสูญเสียพี่ชาย
Joaquin Phoenix เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1974 ในรัฐเปอร์โตริโก ที่ตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศสหรัฐอเมริกา เขากิดมาพร้อมกับภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ โดยเป็นปากแหว่งชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นรอยเล็กๆ บนริมฝีปาก คล้ายแผลเป็นจากริมฝีปากไปยังจมูก ใครเลยจะไปคิดว่าในอนาคต เขาจะกลายเป็นนักแสดงชื่อดัง และมีรอยแผลเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เขาย้ายกลับมาที่สหรัฐฯ เข้าสู่วงการในชื่อ ลีฟ ฟีนิกซ์ มีพี่ชายเป็นนักแสดงชื่อ ริเวอร์ ฟินิกซ์ เข้าวงการตอนอายุ 6 ปี กับการเล่นซีรีส์ ก่อนจะเริ่มกลายเป็นที่รู้จักในเรื่อง Russkies พร้อมๆกับพี่ชายของเขา ในปี 1989 ริเวอร์ ฟินิกซ์ พี่ชายของเขาได้เสียชีวิตลงจากการเสพยาเกินขนาดในผับแห่งหนึ่ง ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ วาคีน ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเขาอยู่ในเหตุการณ์ และพยายามโทรเรียกเจ้าหน้าที่มาช่วยพี่ชาย แต่ไม่ทัน Joaquin Pheonix เสียใจจนออกจากวงการบันเทิงไปนานถึง 6 ปี
กลับเข้ามารับงานแสดงภาพยนตร์ เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น วาคีน ฟีนิกซ์
ในวัยหนุ่มเขากลับมาแสดงหนังเรื่อง To Die For ในปี 1995 พร้อมเปลี่ยนชื่อตนเองเป็น Joaquin Phoenix บทบาทของเขาในหนังของ กัส แวง แซงต์ ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ แต่ก็ยังไม่มากพอให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังหรือได้รับบทนำในหนังใหญ่ของฮอลลีวู้ด
ช่วงปีคริสต์ทศวรรษที่ 1990-2000 นั้น Joaquin Phoenix แสดงภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง หลายคนเริ่มมองเห็นความสามารถและพรสวรรค์ทางด้านการแสดงของเขา เพียงแต่ว่ายังไม่มีผู้กำกับคนไหนยื่นบทที่จะทำให้เขาเดินขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของนักแสดงฮอลลีวู้ดเสียที
แจ้งเกิดกับบทตัวร้ายในหนังรางวัลออสการ์
หลังจากที่แป๊กกับหนังหลายเรื่องหลายแนว ริดลีย์ สก็อตต์ หนึ่งในผู้กำกับชื่อดังของฮอลลีวู้ดก็ตาแหลมพอจะมอบบท คอมโมดัส จักรพรรดิโรมันตัวร้ายให้ วาคีน ประชันบทบาทกับ รัสเซล โครว์ การแสดงอันยอดเยี่ยมของเขาส่งให้ Gladiator ได้รางวัลออสการ์ไปถึง 5 รางวัล ซึ่งตัวเขาเองก็มีชื่อเขาชิง สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมด้วย แต่พลาดรางวัลไปอย่างน่าเสียดาย
ต่อมา Joaquin Phoenix ก็เริ่มได้รับโอกาสให้ร่วมเล่นในหนังหักมุมชื่อดังอย่าง The Village ตามด้วยการเป็นนักแสดงนำชายเต็มๆใน Walk the Line กับบทบาทนักดนตรีระดับตำนานชาวอเมริกันอย่าง Johnny Cash ที่ช่วยลบภาพตัวร้ายมีแผลที่ปากออกไปจากหัวคนดูได้หมด และ We Own the Night หนังมาเฟียที่เขาแสดงร่วมกับ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก
เริ่มเป็นนักแสดงเนื้อหอมที่ผู้กำกับหลายคนต้องการตัว
Joaquin Phoenix เริ่มกลายเป็นนักแสดงหนุ่มสุดฮ็อตที่ผู้กำกับหลายคนอยากร่วมงาน โดยเขามีชื่อเขาชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายครั้งแรกจาก The Master ส่วนใน Her หนังสุดเหงาขวัญใจคนยุคมิลเลเนี่ยม ก็ได้รับคำชมอย่างสูง ในการแสดงนำร่วมกับเสียงของ AI ที่อยู่ในอุปกรณ์คล้ายมือถืออันเล็กๆ รวมถึงไการด้รวมงานกับ วู้ดดี้ อัลเลน ผู้กำกับจอมเก๋าในหนังตลกร้ายเรื่อง Irrational Man แน่นอนว่าค่าตัวของเขาตอนนี้ขึ้นมาอยู่ในระดับต้นๆของวงการฮอลลีวู้ด
ทว่าหลังจากนั้น ผลงานของ Joaquin Phoenix ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากลับไม่ค่อยมีเรื่องไหนน่าสนใจเท่าไหร่ จนกระทั่งหลายคนเกือบลืมชื่อเขาไปแล้ว แต่ก็เป็น ทอดด์ ฟิลลิปส์ ที่กล้าเสนอให้เขารับบท โจ๊กเกอร์ คนล่าสุด ซึ่งเรียกว่าปังทั้งหนังทั้งคนเลยทีเดียว เพราะ Joaquin Phoenix ได้สร้าง Joker ที่ทรงพลังที่สุดขึ้นมาในโลกภาพยนตร์
Joker บทบาทที่อาจส่งให้ วาคีน ฟีนิกซ์ ได้รับรางวัลออสการ์
หลังจากชวดรางวัลออสการ์ไปถึงสามครั้งจาก Gladiator , Walk the Line และ The Master ในรอบนี้ บท อาเธอร์ เฟล็ก หรือ โจ๊กเกอร์ ส่งให้เขากลายเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งที่จะได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปีหน้า
ซึ่ง MenDetails เชื่อว่าหากมีชื่อของเขาจริง ก็ถือว่าคุ้มค่ากับ การทุ่มเทลดน้ำหนัก ถึง 24 กิโลกรัม การแสดงอารมณ์ที่จัดเต็มที่สุดในชีวิตของเขาบนแผ่นฟิล์ม และการสร้าง โจ๊กเกอร์ ในมิติใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ตัวร้ายในหนังฮีโร่อย่าง Batman อีกต่อไป