ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากระแสของโลกเกี่ยวกับการใช้รถยนต์กำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก หลัก ๆ คือผลกระทบในเรื่องของสิ่งแวดล้อมทำให้ภาครัฐของหลาย ๆ ประเทศเริ่มมีการออกกฎหมายหรือการควบคุมที่จริงจังขึ้นเกี่ยวกับการใช้รถ โดยเฉพาะรถเก่า ไปจนถึงสนับสนุนการใช้ขนส่งสาธารณะ ส่งผู้ผลิตรถยนต์เองก็พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อมาแทนรถยนต์เครื่องยนต์แบบเดิม ทำให้ได้รถยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงกำลังค่อยดำเนินไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าว่ากันจริง ๆ แล้วรถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้ก็อาจจะยังไม่ได้ “สะอาด 100%” เพราะจากการวิจัยพบว่าขั้นตอนในการผลิตรถยนต์เหล่านั้น โดยเฉพาะส่วนแบตเตอรี่ยังคงมีผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ที่ล้ำไปกว่าแค่รถยนต์ไฟฟ้า แต่คือ Carbon Negative Car
ในบทความนี้ MenDetails จึงชวนมาดูว่าทำไมรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่ใช่รถที่สะอาดที่สุดอย่างที่คิด รวมถึงมาทำความรู้จักกับรถไอเดียล้ำ ๆ ของนักศึกษา 35 คน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี Eindhoven ที่เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและสามารถต่อยอดไปต่อได้ในอนาคตครับ
อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าโลก
เรียกได้ว่าตอนนี้ทุกแบรนด์หันมาวิจัยเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ากันอย่างจริง เพราะประเทศต่าง ๆ เริ่มให้การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นโดยการออกกฎหมายต่าง ๆ สนับสนุน ทั้งเรื่องราคา จุดชาร์จ การอำนวยความสะดวก ทำให้ผู้คนเริ่มหันไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเริ่มจากทางฝั่งอเมริกาและยุโรปที่ระบบพื้นฐานต่าง ๆ ของเขาพร้อมแล้ว และรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้ก็มีการออกแบบแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้งาน ชาร์จไว วิ่งได้ไกล ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าไม่ติดขัด และอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราคงได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้ากันเต็มถนน รวมถึงในทวีปอื่น ๆ ที่ในตอนนี้กำลังวางโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน อาจจะช้าหน่อย แต่สุดท้ายก็จะมาแน่นอน
สำหรับประเทศไทยที่เรียกว่ากำลังอยู่ในรอยต่อระหว่างรถเครื่องยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า เพราะในขณะที่รัฐบาลกำลังวางแผนระยะยาวในการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งในเรื่องของการดึงแบรนด์ให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย การติดตั้งจุดชาร์จตามจุดต่าง ๆ ทั่วประเทศ และการสนับสนุนเรื่องราคาเพื่อผลักดันในคนไทยซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แต่ก็ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ทำให้เรายังไม่เห็นคนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากนักนอกจากคนเมืองที่อาจจะมีฐานะขึ้นมาหน่อย แต่กับคนทั่วไปรวมถึงตามจังหวัดต่าง ๆ ยังต้องรอแผนการจากภาครัฐเพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงคนมากขึ้น มีระบบโครงสร้างพื้นฐานดีและทั่วถึงพอที่จะรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยก็ตาม ก็คิดว่าอีกสองสามปีต่อจากนี้เราน่าจะได้เห็นอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
…มันสะอาดแล้วจริง ๆ หรือ?
จากที่เขียนมาในหัวข้อที่แล้ว เรียกได้ว่าอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าดูสดใสทีเดียว รวมถึงอนาคตของโลกที่ก็ดูดีขึ้นด้วยพวกรถยนต์ไฟฟ้ามีการปล่อยมลพิษน้อยเพราะใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้าในการวิ่งทำให้ไม่เกิดการเผาไหม้ปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศ แต่ที่เราเข้าใจและเห็นกัน มันเป็นแค่ในตอนขับเท่านั้น แต่ถ้าเราลองดูภาพรวมทั้งหมดตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางจริง ๆ ล่ะ รถยนต์ไฟฟ้ามัน “สะอาด” 100% อย่างที่หลายคนเข้าใจแล้วจริงหรือเปล่า
หากมองให้ลึกกว่าแค่การขับรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นปลายทางแล้ว เราจะพบว่ามันมีหลายปัจจัยอย่างมากที่มาจากต้นทางที่ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าอาจไม่ได้สร้างมลภาวะน้อยกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปสักเท่าไหร่ หนึ่งในนั้นคือไฟฟ้าที่เป็นหัวใจของรถยนต์ไฟฟ้า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าไฟฟ้าที่เราเติมเข้าไปในแบตเตอรี่รถนั้นเกิดขึ้นมาด้วยวิธีการแบบไหน และคำตอบส่วนใหญ่ก็น่าจะเกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เพราะไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาดนั้นยังไม่มากพอที่จะรองรับคนจำนวนมากขนาดนั้น และในหลาย ๆ ประเทศเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าแบบนี้ก็ยังมีไม่มาก
นั่นหมายความว่าถึงเราจะใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่สร้างมลพิษ แต่การได้มาซึ่งไฟฟ้าที่เราเติมนั้นมันได้สร้างมลพิษอย่างมหาศาลไปแล้ว และอาจต้องใช้การขับเป็นระยะทางหลายพันหลายหมื่นกิโลเมตรถึงจะถึงจุดที่รถคันนั้นสามารถหักลบกับการสร้างมลภาวะจากกระบวนการต่าง ๆ ของมันได้ เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเราขับรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่ยังไม่ได้ใช้พลังงานสะอาดไปเสียทั้งหมด และไฟฟ้าที่เรานำเข้าจากต่างประเทศก็ยากที่จะสืบว่ามันมาจากแหล่งการผลิตไหนกันแน่ เทียบกับในแถบประเทศสแกนดิเนเวียร์ อย่าง Iceland หรือ Norway ที่ใช้พลังงานความร้อนจากใต้พิภพมาผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก จุดหักลบในการใช้ให้คุ้มเพื่อให้มันไม่สร้างมลพิษนั้นในไทยยังต้องใช้งานนานกว่าเห็น ๆ
นอกจากที่มาของไฟฟ้าที่เป็นแหล่งพลังงานแล้ว กระบวนการในการสร้างแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สร้างมลภาวะกับโลกอย่างมากมาย โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ผู้ผลิตกำลังพยายามพัฒนาให้แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าที่นานขึ้น ทำให้มันมีขนาดใหญ่ขึ้น และแบตเตอรี่เหล่านั้นก็ใช้ธาตุอย่างลิเธียม นิกเกิล โคบอลต์ ซึ่งในขั้นตอนการผลิตแร่ธาตุและแบตเตอรี่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างมลภาวะและของเสียให้กับโลกทั้งสิ้น หากไม่ได้รับการแยกที่ถูกต้องในอีกหลายสิบปีข้างหน้ามันอาจเป็นปัญหาใหม่ในการจัดการกับธาตุหายากเหล่านี้ไม่ให้เข้าไปอยู่ในวงจรของสิ่งแวดล้อม แม้ว่าเราจะมีแร่ธาตุนี้ให้ใช้ไปอีกนับร้อยปีก็ตาม
ทำให้เมื่อพิจารณาดูเส้นทางการผลิตทั้งหมดกว่าจะออกมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งคันแล้ว บางคันจากบางแหล่งผลิตสามารถสร้างมลภาวะไม่ต่างกับการขับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปธรรมดา ๆ คันหนึ่งเลย และเราอาจต้องขับมันไปอีกหลายปีถึงจะถึงที่มันสามารถหักลบกับมลพิษที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิต
Carbon Negative Car หรือ ZEM รถยนต์ไอเดียล้ำ ๆ ที่ไปไกลกว่าแค่รถยนต์ไฟฟ้า
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้การสร้างมลภาวะน้อยลงก็ยังดูเหมือนจะสร้างมลภาวะพอสมควรอยู่ดี และยิ่งดูจาก ความตกลงปารีส หรือ Paris Agreement ข้อตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ไทยก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ระบุว่าในปี 2050 มนุษยชาติต้องเป็นกลางทางคาร์บอน หรือไม่สร้างคาร์บอนและมลพิษเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศครั้งใหญ่ นั่นอาจหมายถึงจุดจบของสัตว์หลายสายพันธุ์และมนุษย์ที่อาจต้องเปลี่ยนการดำรงชีวิตเพราะโลกที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าอาจยังไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง…อย่างน้อยก็ถ้ามันยังเป็นอยู่ในลักษณะนี้
แล้วมันจะมีอะไรที่สามารถสร้างความแตกต่างหรือทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ มากกว่าแค่รถยนต์ที่ไม่สร้างมลภาวะ แต่เป็นทุกขั้นตอนการผลิตของรถยนต์ เราเชื่อว่าด้วยมันสมองมนุษย์คงสามารถหาคำตอบได้ไม่ช้า และหนึ่งในเสี้ยวแห่งอนาคตที่ไปไกลกว่าแค่รถยนต์ไฟฟ้าที่เราอยากแนะนำในครั้งนี้ ก็คือรถยนต์ไฟฟ้าที่ชื่อว่า ZEM จากทีมนักศึกษา 35 คน ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี Eindhoven ที่เป็น Carbon Negative Car คันแรกของโลก เพราะมันไม่ใช่แค่ไม่สร้างมลภาวะ ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่มันยังช่วยดักจับคาร์บอนได้ด้วย!
ZEM (Zero Emission Mobility) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสองที่นั่งที่ใช้เทคโนโลยีชื่อว่า DAC (direct air capture) ซึ่งมันจะทำการดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศมากักเก็บไว้ และความพิเศษของเทคโนโลยี DAC ของ ZEM ที่ต่างจากที่อื่น ๆ คือ มันไม่ต้องใช้พัดลมเพื่อดูดอากาศเข้ามา แต่ในระหว่างที่ขับอากาศจะไหลเข้าตัวรถผ่านตะแกรงหน้ารถทำให้สามารถดักจับอากาศได้อัตโนมัติ ทำให้มันมีประสิทธิภาพอย่างมาก
ทางทีมผู้สร้างทำการคำนวณออกมาว่าหากเราขับรถปีละ 20000 ไมล์ รถคันนี้จะดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 2 กิโลกรัม ดูตัวเลขอาจจะไม่มาก แต่เพราะรถคันนี้ตั้งแต่วิธีการสร้างไม่เกิดมลภาวะหรือคาร์บอนไดออกไซด์เลยทำให้มันดูดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปเพื่อกรองมากกว่าสร้างมลภาวะเสียอีก และลองคิดดูว่าหากในอนาคตรถยนต์ทุกคันใช้เทคโนโลยีนี้มันจะหมายความว่ารถยนต์ที่วิ่งกันอยู่จะทำให้โลกสะอาดมากกว่าทำลายโลกอีกด้วย
แม้ในตอนนี้เทคโนโลยีทั้งหมดที่ใช้ในการสร้างยังไม่สามารถเปิดเผยได้หมดเพราะบางอย่างกำลังจดสิทธิบัตรกันอยู่ แต่ในส่วนกระบวนการผลิตที่เขาบอกว่าไม่สร้างมลภาวะมีการใช้เทคโนโลยี 3D Printing ผลิตโลหะสำหรับตัวรถและโครงรถเกือบทั้งหมด และโลหะเหล่านี้ยังง่ายต่อการนำไปรีไซเคิล ส่วนภายในใช้จากพลาสติกรีไซเคิลทั้งหมด ทำให้มันสามารถย่อยสลายและขึ้นรูปใหม่ได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงขั้นตอนการจัดการรถยนต์เมื่อหมดอายุการใช้งาน เมื่อมาคำนวณดูแล้วมีการสร้างคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า และหักลบกันแล้วทำให้เราได้รถที่เป็นกลางทางคาร์บอน
แม้รถยนต์ ZEM คันนี้จะเป็นแค่คันต้นแบบและทีมงานก็ยังคงมีการพัฒนาปรับปรุงกันอยู่เพื่อให้มันสามารถขายได้จริง แต่ก็ถือเป็นก้าวใหม่สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่สามารถต่อยอดไปเพื่อผลิตออกมาจำนวนมากในอนาคตได้ ทำให้อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าที่สะอาดยิ่งขึ้นสดใสยิ่งกว่าเดิม และนี่ยังเป็นเพียงหนึ่งในไอเดียแรก ๆ ของมนุษย์ในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมเอาไว้ หากผ่านไปอีกไม่กี่ปี ก็อาจจะมีคนคิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้รถยนต์ “สะอาด” ยิ่งกว่าเดิมก็ได้