ในขณะที่หลายธุรกิจกำลังปรับตัวเข้าไปอยู่ในออนไลน์มากขึ้นก็มีบางธุรกิจที่ ‘เลือก’ จะอยู่แค่ในออนไลน์มาตั้งแต่แรกแล้วครับ Readery ร้านหนังสือออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้าน เปิดตัวตั้งแต่พ.ศ. 2559 และได้รับความนิยมมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมีผู้ร่วมก่อตั้ง คือ คุณโจ้ อนุรุจน์ และคุณเน็ต นัฏฐกร ทั้งสองได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ podcast ด้วยตัวเอง ทุกเทปจะหยิบหนังสือดีๆ มาบอกต่อ ซึ่งมีเทปหนึ่งที่หยิบหนังสือชุด WORK SERIES S มาแนะนำ ทำให้เราได้มีโอกาสหันกลับมามองชีวิตการทำงานของตัวเองจนอยากให้ผู้อ่าน MenDetails.com ได้คุยกับตัวเองสักนิดครับว่า วันนี้คุณได้ ทำงานอย่างมีความสุข และมีความหมายกับตัวเองอยู่หรือไม่
Why we work?
อยาก ทำงานอย่างมีความสุข ต้องตอบตัวเองว่าทำไมถึงเลือกทำงานนี้
ชีวิตวัยทำงานเป็นช่วงวัยที่กินเวลาเกินครึ่งชีวิตของคนเราเลยทีเดียวครับ ฉะนั้นก่อนที่จะกลายเป็นการทำงานที่ไม่มีความสุขเป็นระยะเวลานาน ๆ ลอง ตั้งคำถามกับตัวเองสักครั้งว่า ทำไมเราถึงเลือกทำงานนี้?
โดยนิยามของงานนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทครับ Job คือ งานที่เป็นชิ้นงาน งานที่ทำเพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง, Career งานที่เป็นอาชีพ มีการเติบโตและความก้าวหน้าในตำแหน่งงานนั้น ๆ ได้ เราต้องวางแผนเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย และ Calling งานที่มีความหมายกับตัวเรา เป็นความหมายในแง่จิตใจว่าใจอยากทำอะไร การทำในสิ่งที่รัก
สำรวจงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่ว่าเป็นงานประเภทใด ซึ่งยุคนี้หลาย ๆ คนคงไม่ได้ทำงานประจำเพียงงานเดียวแล้วล่ะครับ บางคนอาจมีงานหลักที่เป็นอาชีพ พร้อมงานที่เป็น calling ซึ่งทำด้วยความชอบเป็นงานเสริม คือทำงานมากกว่าหนึ่งงานไปพร้อมกัน หรืออาจจะต้องทำงานเก็บเงินจากงานอื่นก่อนเพื่อเป็นทุนสำหรับสิ่งที่ใจเรารักต่อไปครับ เราจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักในดีว่างานไหนที่สำคัญกับเรามากที่สุด
Set your goal
จะ ทำงานอย่างมีความสุข ได้ ชีวิตต้องมีเป้าหมาย
ต้องมีเป้าหมาย (Goals) ในการทำงานนั้น ๆ ครับ หมายถึงทั้งในแง่เป้าหมายเล็ก ๆ อย่างชิ้นงานโปรเจค หรือเป้าหมายใหญ่อย่างทำอาชีพนี้ไปเพื่ออะไร
ถามตัวเองสักหน่อยว่าตอนนี้สิ่งที่กำลังทำอยู่มีจุดมุ่งหมายอะไร ทำไปเพื่อใครครับ ระวังอย่าปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ทำงานให้ผ่านไปวัน ๆ ทุกคนต้องมีเป้าหมาย เพราะเป้าหมายเป็นตัวกำหนดทิศทางในการทำงาน เช่น ต้องใช้วิธีไหนที่จะไปสู่เป้าหมายได้ ต้องใช้วิธีอะไร ทำอย่างไรและต้องใช้ใครบ้าง เป็นต้น ซึ่งนี่เป็นการตั้งเป้าหมายในภาคบุคคลครับ ในขณะเดียวกันองค์กรที่เราก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ก็ต้องมีเป้าหมายขององค์กรเช่นกัน สำรวจให้ดีว่า mission ขององค์กร กับ mission ของเราตรงกันรึเปล่า ซึ่งโดยทั่วไปองค์กรมักมีเป้าหมายขององค์กรตั้งอยู่แล้วครับ เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องดูว่าเรามีเป้าหมายตรงกับเขาหรือไม่ เว้นแต่องค์กรเล็ก ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้น อาจเป็นการสร้างเป้าหมายไปพร้อมกันกับทีมงาน
Everyone has motivation
ต่างคนต่างมีแรงจูงใจในการทำงาน
ค่าตอบแทนเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่สำคัญ ทุกคนควรได้รับ reward ให้สมกับความสามารถและผลงานที่ทำลงไป ต้องถามตัวเองว่าอะไรเป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำงาน
คนเรามีหลายสาเหตุที่กลายเป็นแรงจูงใจ (Motivation) ในการทำงานครับ ไม่ว่าจะเป็นค่าตอบแทน ผลลัพธ์ความสำเร็จของชิ้นงาน บรรลุเป้าหมายบางอย่าง เกิดความรู้สึกว่าก้าวหน้า ความภาคภูมิใจในตัวเอง ความมั่นคงในระยะยาว หรือกระทั่งเรื่องสถานะทางสังคม การเลี้ยงดูลูกและคนในครอบครับ พูดได้ว่า แต่ละคนมีแรงจูงใจในการทำงานไม่เหมือนกัน และบางครั้งค่าตอบแทนไม่ใช่แรงจูงใจที่สำคัญที่สุดเสมอไป คนอาจเลือกทำงานที่ไม่ได้ได้ค่าตอบแทนเยอะ แต่มีความหมายต่อตัวเอง เช่น เมื่อได้ทำงานนี้แล้วรู้สึก fulfill ตัวเอง รู้สึกว่าก้าวหน้าขึ้น ได้ทำสิ่งที่รัก หากงานที่ทำนั้นให้คุณค่าทางจิตใจ แปลว่างานชิ้นนั้นเป็น calling ของเรา
Why is happiness so important?
หรือการ ทำงานอย่างมีความสุข มีน้ำหนักมากกว่าเรื่องค่าตอบแทน
ปัจจัยสำคัญที่จะ ทำงานอย่างมีความสุข ได้ ก็คือ การมี ความสุข (Happiness) นี่แหละครับ เพราะเป็นพลังบวกที่จะทำให้ขับเคลื่อนชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายคนอาจเคยประสบปัญหาหรือได้ยินว่าเพื่อนลาออกจากที่ทำงานเพราะไม่มีความสุขกับการทำงาน ทั้งในเรื่องของตัวงานและคนร่วมงาน ส่วนใหญ่วิธีแก้ปัญหาของเจ้านายมักเป็นการเพิ่มเงินเดือนขึ้นเพื่อจะดึงให้ทำงานอยู่ต่อไป ซึ่งแท้จริงแล้วแม้ว่าจะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มีความสุขในการทำงานอยู่ วันหนึ่งก็ต้องจบด้วยการลาออกอยู่ดีครับ
ความสุขในการทำงานควรจะเกิดจากตัวงานที่เราทำเป็นหลัก มีความสุขที่ได้สร้างสรรค์งานชิ้นนี้ มีความสุขที่เห็นงานเป็นรูปเป็นร่าง รวมถึงต้องมีความสุขในเรื่องของ ‘คน’ ที่ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นทีม ทั้งเจ้านาย ลูกน้อง หรือกระทั่งลูกค้าที่ต้องติดต่อทำธุรกิจก็ตาม ความสุขจึงเป็น ‘สิ่งจำเป็น’ ที่ทุกคนต้องมี เพื่อจะกลายเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้เรา ‘มีใจ’ อยากจะทำงานนั้น ๆ ต่อไปครับ
Your effort will pay off
การได้ ทำงานอย่างมีความสุข ต้องเห็นผลงานที่ลงมือลงแรงไป
ความภาคภูมิใจ (Pride) ในตัวเองเป็นหัวใจสำคัญอีกหนึ่งข้อ สำหรับการ ทำงานอย่างมีความสุข ครับ เมื่อไหร่ที่เราจะรู้สึกว่างานของตนเองมีคุณค่า? ก็เมื่อตอนที่ได้เห็นผลงานของตัวเองออกมาเป็นรูปร่างนั่นเองครับ เป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จและความภูมิใจในตัวเอง ได้สร้างสรรสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างไอเดียในหัวออกมาให้กลายเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ โดยตัวตนของทุกคนมีลายเซ็นบางอย่างอยู่ และมันจะปรากฏขึ้นในผลงานที่เราทำเสมอครับ
มีการทดลองหนึ่งซึ่งสะท้อนเรื่องความภาคภูมิใจในในการทำงานเขียนไว้ใน หนังสือ Pay off เราทำงานแล้วได้อะไร โดยเป็นการทดลองด้วยการจ้างคน 2 กลุ่มมาต่อหุ่นยนต์เลโก้ ซึ่งกลุ่มแรกมีค่าตอบแทนให้ $2 ต่อหนึ่งตัว ซึ่งเมื่อต่อเสร็จ ก็จะเอาผลงานไปตั้งโชว์ไว้ แต่หากอยากต่อชิ้นถัดไป ค่าจ้างจะเหลือเพียง $1.50 และตัวต่อไปก็จะลดลงครั้งละ 50 cents ในขณะที่กลุ่มที่สอง ตัวแรกได้ค่าตอบแทนเท่ากลุ่มที่หนึ่ง แต่เมื่อต่อเลโก้เสร็จ ผู้ว่าจ้างจะแยกชิ้นส่วนทั้งหมดทิ้งทันที แต่หากอยากต่อชิ้นถัดไป ก็จะยังคงได้รับค่าจ้างเท่าเดิม
หากเป็นคุณ จะต่อหุ่นยนต์ต่อไปได้กี่ตัว? น่าสนใจครับว่า ระหว่างการได้รับค่าตอบแทนน้อยลงเรื่อย ๆ จนไม่คุ้มเหนื่อย กับ ได้ค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ แต่จะเป็นการทำงานเดิมซ้ำ ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้เห็นผลงานตัวเองเป็นชิ้นเป็นอัน คนส่วนใหญ่จะเลือกทำงานใด ซึ่งผลจากกลุ่มตัวอย่างกลุ่มหนึ่ง คนจะหยุดทำงานเมื่อต่อเลโก้ไปได้ประมาณ 11 ตัวในขณะที่กลุ่มสอง คนจะหยุดทำงาน เมื่อต่อหุ่นยนต์ไปได้ราว 4-7 ตัว เพราะเขาไม่เห็นผลงานของตัวเอง และโดนทำลายงานที่สร้างมากับมือต่อหน้าต่อตาอีกต่างหาก
ระหว่างทางในดำเนินงานและปลายทางซึ่งสำเร็จเป็นผลงาน ล้วนส่งผลต่อคุณค่าทางจิตใจของคนทำงานอย่างเท่า ๆ กัน
Slow down and let’s your dream breathe sometimes
ให้เวลาพักกับตัวเองบ้างเพื่อที่จะได้ ทำงานอย่างมีความสุข
ชีวิตการทำงานในยุคปี 2020 นี้ กลายเป็นต้องห้ามหยุดนิ่ง อย่าหยุดพัฒนา ความหมายของคำว่า productivity และ passion มีน้ำหนักมากขึ้นมาอย่างมหาศาล ราวกับเป็นการแข่งขันของคนวัยทำงานว่าใครทำสำเร็จเร็วเท่าไหร่ยิ่งเจ๋งเท่านั้น
แท้จริงแล้ว ทุกคนล้วนต้องมีจังหวะที่ผ่อนช้าลงบ้าง อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับเรื่องงานตลอดเวลา และไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาทำงานอยู่หรือเวลาพักผ่อน สมองของเรายังคงทำงานได้อย่างใกล้เคียงทีเดียว และที่สำคัญหลาย ๆ ครั้ง Ureka Moment มักเกิดในเวลาที่เราพักเบรค หรือเวลาที่ไม่ตั้งใจกับสิ่งนั้นมากจนเกินไป จึงเป็นที่มาของพนักงานออฟฟิศที่ชอบพักเบรคช่วงบ่ายไปชงกาแฟดื่มหรือหาขนมทานเล่น เป็นการให้เวลากับตัวเองและสิ่งที่ติดอยู่ในหัว คิดไม่ออกตอนประชุมก็จะค่อย ๆ ออกมาเองครับ
ช่วงที่ผ่อนความ active ลง ก็ปล่อยให้เป็นเวลาที่ได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยครับ ปล่อยให้เราออกแบบจินตนาการไปเองโดยไม่ตั้งใจ ความเงียบเป็นบ่อเกิดของสมาธิครับ เราเห็นอยากตัวเองเป็นใคร กำลังทำอะไรอยู่ เราจะได้คำตอบลึก ๆ ในใจตอนนั้นเอง และหากสิ่งที่ใจฝันอยากจะทำ คุณได้มีโอกาสลงมือทำแล้วก็ให้มั่นใจในเส้นทางนั้นต่อไปครับ
เชื่อว่าคนยุคนี้ให้คุณค่ากับการได้ทำในสิ่งที่ตนรักมากขึ้นกว่าคนยุคก่อน ๆ ถ้าย้อนไปสัก 20-30 ปีก่อน คนส่วนใหญ่จะทำงานด้วยความอดทนเป็นระยะเวลานานเพื่อเก็บเงินไปทำสิ่งที่ตนเองรักในภายหลัง ขณะที่ยุคนี้เป็นการทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ตนเองมีโอกาสได้ทำงานที่รักให้เร็วที่สุด ซึ่งการจะ ทำงานอย่างมีความสุข ได้ก็ต้องเกิดจากได้ทำในสิ่งที่รักและเป็นงานที่มีความหมายบางอย่างต่อเรานี่แหละครับ ลองใช้เวลาทบทวนตัวเองสักนิดว่า ตอนนี้แรงจูงใจในการทำงานคืออะไร และงานไหนเป็นงานที่มีความหมายสำหรับคุณ สุดท้ายความสุขในการทำงานจะพาเราไปยังความสำเร็จในสักวันหนึ่งเอง