ไปเที่ยว Nagoya ทั้งที เราขอให้ทุกท่านไปลองอาหารที่มีชื่อว่า “ข้าวหน้าปลาไหล” สักครั้งหนึ่ง เนื่องจากที่นี่เป็นต้นกำเนิดของข้าวหน้าปลาไหลสไตล์ Nagoya ที่มีวิธีการทานถึง 3 วิธี และร้านแรกที่เริ่มคิดค้นวิธีดังกล่าวก็คือร้านนี้ครับ ‘Atsuta-Houraiken’ ที่เมื่อคุณบอกคนญี่ปุ่นเองว่าเมื่อกลางวันไปทานร้านนี้มา คนญี่ปุ่นจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “อุมัย~” ว่าแล้วก็ตามไปลองกันครับ
เดินทางด้วยรถไฟฟ้าสาย Meijo Line ไปลงที่ Temma-Cho
ต้องระวังนิดนะครับ เพราะรถไฟฟ้าสายนี้จะวิ่งด้วยกัน 2 แบบได้แก่ วิ่งแบบวนวงกลมรอบเมืองกับวิ่งไปทางท่าเรือครับ ให้เลือกวิ่งวนรอบเมืองนะครับแล้วไปลงที่สถานี Temma-Cho แล้วเดินไปยังร้านได้เลยครับ ร้านอยู่ห่างจากสถานีเพียง 200 เมตรเท่านั้น หาไม่ยากครับ เดินตามกลิ่นมาก็ได้ หน้าร้านจะเป็นตามรูปด้านบนครับซึ่งเวลาเปิดปิดตามป้ายหน้าร้านคือ 11:30-14:30 และ 16:30-20:30 เท่านั้น ตอนเราไปถึงคือราวๆ 11:15 แต่ร้านก็เปิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงกระนั้นก็ตามที เราก็ต้องรอคิวราว 30 นาทีอยู่ดีครับ
-ด้านซ้ายมือคือห้องรอคิวครับ มี Guide Book ให้ด้วยเผื่อรอนานเกินแล้วอยากไปเดินเล่นก่อน (ท่าทางจะรอนานจริงๆ)-
เมนูที่ต้องสั่งคือ Hitsu-Mabushi
เนื่องจากที่นี่ เป็นต้นกำเนิดของการกินข้าวหน้าปลาไหลสไตล์ Nagoya ทั้ง 3 แบบ ดังนั้นก็ต้องสั่งเมนูต้นกำเนิดมาลองดูครับ ได้ข่าวมาว่า “น้ำที่ใช้ทาปลาไหลตอนย่างนั้นไม่เคยแห้งจากหม้อมายาวนานกว่า 100 ปี” เลยทีเดียว จึงเชื่อกันว่าคุณจะได้รับรสชาติที่ดั้งเดิมที่สุดจากต้ำตำหรับแท้ๆ แน่นอน ซึ่งเมนูนี้มีชื่อว่า Hitsu-Mabushi (3,600 เยน) หรือข้าวหน้าปลาไหลสไตล์ Nagoya นั่นเอง
อย่างแรกที่คุณเห็นได้จากรูปเลยก็คือ ปลาไหลที่เต็มชามแบบมองแทบจะไม่เห็นข้าวเลยด้วยซ้ำ ซึ่งคาดเดาว่าน่าจะมาทั้งตัวเต็มๆ 1 ตัวครับ (ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละ) โดยทางร้านจะเสิร์ฟมาคู่กับถาดที่ใส่สาหร่าย / วาซาบิ / ต้นหอม พร้อมซุปใสและกาน้ำซุปอีก 1 กา วิธีการทานไม่ยากเย็นอะไรเลยครับ มีด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ
มีวิธีทานทั้งหมด 3 แบบ ซึ่งคุณควรลองให้ครบครับ
เนื่องจากเป็นเจ้าแรกของญี่ปุ่นที่เริ่มต้นคิดค้นวิธีการทานข้าวหน้าปลาไหลทั้งหมด 3 แบบนี้ ดังนั้นมันก็ต้องมีวิธีกันหน่อย ซึ่งถ้าใครไปถึงที่ร้านก็จะสามารถอ่านได้จากเมนูครับ แต่ถ้าไม่ชัวร์ MDs แบ่งวิธีมาให้แล้วดังนี้
- วิธีแรก | ตักข้าวออกจากชามมาประมาณหนึ่งแล้วทานเลย วิธีนี้จะได้รับกลิ่นของน้ำที่ใช้ทาตัวปลาไกลขณะย่างแบบเต็มๆ ซึ่งตัวปลานั้นจะย่างด้วยไฟอ่อนๆ จนแห้งพอดีๆ แต่ยังคงความนุ่มไว้อยู่ภายใน ถือเป็นวิธีที่ใช้ทานข้าวหน้าปลาไหลกันทั่วบ้านทั่วเมืองญี่ปุ่นอยู่แล้วครับ
- วิธีที่สอง | ทำเหมือนวิธีแรกแต่ให้ใส่เครื่องปรุงที่อยู่ในเซตได้แก่ สาหร่าย / วาซาบิ และต้นหอมลงไปด้วย วิธีการทานแบบนี้จะได้ความหอมของเครื่องปรุงเข้ามาชูโรงกลิ่นของปลาให้ชัดมากขึ้น ถือเป็นวิธีการทานที่ดีเยี่ยมมากๆ อีกวิธีหนึ่งครับหากใครชอบกลิ่นของสาหร่ายเบาๆ หอมวาซาบินิดๆ ก็เลือกทานด้วยวิธีนี้ไปเลย
- วิธีสุดท้าย | ถือเป็นวิธีที่เราชอบที่สุดจากทั้งหมด 3 แบบครับ นั่นก็คือทำทุกอย่างเหมือนวิธีที่ 2 เลย แต่ให้เติมน้ำซุปในกาลงไปให้พอดีๆ แล้วคนให้เข้ากันครับ วิธีนี้จะได้ความหอมแบบละมุนมากจริงๆ แถมน้ำซุปที่อยู่ในกายังช่วยให้การทานนั้นลื่นคอมากขึ้นด้วย แนะนำเลยครับวิธีนี้
-การทานแบบวิธีสุดท้ายคือดีงามที่สุดแล้วครับ-
จริงๆ คุณจะทานวิธีไหนก็ได้ จะทานวนแต่ละแบบกี่รอบก็ได้ครับ ไม่มีใครว่า แต่ขอแนะนำให้เหลือจำนวนพอประมาณไว้เลือกทานแบบที่ชอบที่สุดปิดท้ายครับ รับรองว่าอร่อยแบบสไตล์ Nagoya แบบเต็มๆ
ยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกทานด้วยเช่นกัน สำหรับใครที่ไม่อินกับปลาไหล
ไปกันมากกว่า 1 คน แล้วในแก๊งค์มีคนไม่ชอบทานปลาไหลขึ้น ทางร้านก็มีเมนูอย่างเซตปลาดิบคุณภาพให้ทานด้วยครับ แต่บอกเลยว่า เท่าที่เราดูมานะ “คนที่เข้าร้านนี้ส่วนมากจะมีแต่คนญี่ปุ่น และเกือบทุกคนก็สั่งเมนู Hitsu-Mabushi กันทั้งนั้น” แต่ก็ไม่ใช่ว่าเมนูปลาดิบของที่นี่จะไม่อร่อยนะครับ หวานได้ใจพอตัวเลยทีเดียว แต่ก็อย่างว่า “มาถึงร้านต้นตำหรับ ก็ต้องลองของต้นตำหรับจริงมั้ยครับ”
ถือเป็นมื้อ 3,600 เยนที่คุ้มค่ามาทีเดียว กับข้าวหน้าปลาไหลที่จัดปลาไหลมาเต็มชามแบบไม่เห็นข้าว พร้อมวิธีการทานที่เป็นต้นตำหรับแท้ๆ (โดยเฉพาะวิธีที่เติมน้ำลงไปนั้น อร่อยอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ) ใครกำลังจะเดินทางไป Nagoya เร็วๆ นี้ ควรไปโดนอย่างยิ่ง ถึงแม้ในเมืองจะมีร้านลูกไปเปิดเต็มไปหมดแต่ MDs ขอแนะนำให้มาทานที่นี่ครับ เพราะถือเป็นต้นกำเนิดตัวจริงเสียจริง แต่ควรมาเร็วหน่อยนะครับ เพราะได้ข่าวว่าบางครั้งต้องรอกันนานถึง 2-3 ชั่วโมงเลยก็มี