ใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ สิ่งที่มนุษย์เราทุกคนพยายามหาคำตอบที่ลงตัวของตัวเองเสมอมา และประโยชน์ที่เราคาดหวังว่าจะได้รับนั่น ก็คือ “ความสุข” ไม่ว่าจะเป็นความสุขของตัวเองหรือของคนที่เรารักก็ตามที วันนี้ MenDetails ขอหยิบเอา วิธีคิดของ Ben Felix ซึ่งเป็น Youtuber ทางด้านการลงทุนที่มักมีแง่มุมความคิดเรื่องการเงินที่น่าสนใจให้เราได้คิดตามอยู่บ่อย ๆ มาตอบคำถามว่า เราจะมีวิธีการจัดสรรเงินอย่างไรให้ตัวเองและคนที่เรารักนั้นมี “ความสุข” สูงที่สุด
ให้ความสำคัญกับ “เวลา” มากกว่า “เงิน”
การวางเป้าหมายทางการเงินว่าอยากจะรวย หรือ อยากจะมีเงินเก็บเท่านั้นเท่านี้ในแต่ละช่วงอายุ แม้เป็นสิ่งที่เราควรทำ แต่หากจดจ่ออยู่กับมันมากเกินไป จะทำให้เรายอมแลกเวลาของตัวเองเพื่อทำงานหาเงินจนเกิดภาวะ “ยากจนเวลา (Time Poor)”
โดยในหนังสือ “Time Smart” ของ Ashley William กล่าวว่า ‘คนที่ให้ความสำคัญกับเวลามากกว่าเรื่องเงิน มีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากกว่า มีการพัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ดีกว่า และมีความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมมากกว่าคนที่ยากจนเวลา’
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าให้เราลาออกไปทำงานฟรี ๆ แต่อย่างใด จุดประสงค์ของข้อนี้ คือ ให้เรามองหางานที่ไม่ได้เบียดบังเวลาของเรามากเกินไปหรือหาวิธีว่าจ้างบุคคลอื่นมาทำงานในส่วนที่เราไม่ชอบเพื่อให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้น แม้สิ่งเหล่านั้นอาจทำให้เราได้รับรายได้สุทธิน้อยลงก็ตาม แต่ความสุขในระยะยาวจะคุ้มค่าภายในทางจิตใจ เป็นการ “ใช้เงินเพื่อซื้อเวลาของตัวเอง” นั่นเอง
ใช้เงินไปกับประสบการณ์มากกว่าวัตถุสิ่งของ
การใช้เงินไปกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยพบเจอ หรือเป็นประสบการณ์ที่เราชื่นชอบเป็นพิเศษนั้น มักจะตราตรึงและปรากฏอยู่ในความทรงจำได้ยาวนานกว่าความประทับใจที่ได้รับจากการซื้อหาวัตถุสิ่งของเสมอ ตัวอย่างเช่น ทริปเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัวหรือกับเพื่อน ๆ หรือจะเป็นอาหารมื้อค่ำดี ๆ กับแฟน เมื่อกาลเวลาผ่านไปแล้วเรามองย้อนกลับมา เราจะนึกถึงช่วงเวลาที่ประทับใจเหล่านั้นได้แม่นยำกว่าของราคาแพงที่เราเคยซื้อไว้เมื่อนานมาแล้วนั่นเอง ดังนั้นหากอยากใช้เงินเพื่อ “ความสุข” ที่ยั่งยืนขึ้น ก็จงใช้เงินไปกับประสบการณ์ดี ๆ มากกว่าวัตถุสิ่งของนะครับ
ใช้เงินน้อยแต่บ่อย ๆ ดีกว่าใช้เงินเยอะแต่ได้แค่นาน ๆ ที
เมื่อเราตั้งใจที่จะใช้เงินไปกับประสบการณ์ใหม่ ๆ หรือประสบการณ์ที่เราชื่นชอบเป็นหลักแล้วนั้น เทคนิคต่อมา คือ ให้เราใช้เงินซื้อประสบการณ์ดังกล่าวแบบครั้งละน้อย ๆ แต่ซื้อบ่อย ๆ จะดีกว่าการใช้เงินเยอะ ๆ เพื่อซื้อประสบการณ์ชิ้นโต แต่ทำได้แค่นาน ๆ ที ยกตัวอย่างเช่น หากเราเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว และมีงบประมาณในการเที่ยวอยู่ที่ปีละ 120,000 บาท โดยกำลังตัดสินใจว่าจะใช้เงินทั้งหมดไปเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งเดียวและไม่ได้เที่ยวอีกเลยตลอดปี หรือจะทยอยใช้เงินทีละ 20,000 บาท เพื่อไปเที่ยวที่ที่ใกล้และประหยัดกว่า ซึ่งจะทำให้เราได้เที่ยวบ่อยถึง 6 ครั้ง แบบเดือนเว้นเดือน งานวิจัยพบว่าการใช้เงินเพื่อหาความสุขแบบน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ จะตอบสนองธรรมชาติทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Hedonic Adaptation ได้ดีกว่า และจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าภายในกรอบเวลาที่เท่ากันนะครับ
ใช้เงินเพื่อให้คนอื่นมีความสุข
เรามักมีความคิดฝังใจว่าเมื่อเรามีเงิน เราก็ควรใช้เงินเอามาหาความสุขให้ “ตัวเอง” ดีกว่ายกให้คนอื่นไปเปล่า ๆ แต่ความเป็นจริงนั้นอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการที่เราได้ใช้เงินสร้างความสุขให้ผู้อื่น หรือ ช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุขเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมา คือ ความสุขของตัวเราเองในฐานะ “ผู้ให้” ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การซื้อของขวัญวันเกิดให้คุณพ่อคุณแม่, เลี้ยงข้าวญาติพี่น้อง, บริจาคให้สิ่งของให้ผู้ด้อยโอกาส หรือแม้แต่ลงทุนเอาเวลาว่างของเราไปสอนหนังสือ หรือ อ่านหนังสือเสียง เหล่านี้คือการลงทุนเพื่อให้คนอื่นมีความสุขและตัวเราเองก็มีความสุขตามไปด้วยทั้งสิ้น
อย่าให้เป้าหมายการเงินเป็นเส้นชัยของความสุข
การพยายามทุ่มเทเวลาหาเงินเพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุด เพราะเชื่อว่าเงินที่เราได้รับในวันนี้จะสร้างความสุขสูงสุดให้เราในอนาคตเมื่อเราสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้สำเร็จ เป็นแนวความคิดที่ทำให้เรามองข้ามมูลค่าของเวลาในปัจจุบัน และให้ค่ากับความสุขที่ยังมาไม่ถึงอย่างเกินจริง ซึ่งหากเรานำเอาหลักการ Hedonic Adaptation มาวิเคราะห์ เราจะพบว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ความสุขที่จะเกิดขึ้นจากการบรรลุเป้าหมายทางการเงินในอีก 20-30 ปีข้างหน้า อาจเป็นเพียงความสุขสุด ๆ แค่แวบเดียว แล้วจิตใจของเราก็ค่อย ๆ ปรับตัวจนกลายเป็นความรู้สึก “เฉย ๆ” ในที่สุด
ทางที่ดีกว่า คือ การสร้างความสุขให้ตัวเองใน “ระหว่างทาง” ที่เดินทางไปยังเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ และวางแผนการทำงานรวมถึงการลงทุนที่ให้คุณค่ากับ “เวลา” มากกว่าหรืออย่างน้อยไม่แพ้เรื่องของตัวเงิน อย่าเสียดายงานเงินเดือนสูง ๆ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าเราจะไม่มีความสุขเมื่อได้ทำ และอย่าเสียดายค่าจ้างพนักงานที่จะช่วยแบ่งเบาเวลาในการทำงาน เพื่อให้เราสามารถนำเวลาไปสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่เรารักอันจะเป็นความสุขให้ตัวเองได้ด้วย
อย่าหยุดทำงาน และ จงมอบความรักให้คนรอบข้างเสมอ
ผู้ชายหลายคน วางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณ เพื่อจะได้ไม่ต้อง “ทำงาน” อีกต่อไป แต่การไม่ได้ทำงานนั้นจะทำให้ชีวิตของเรามี “ความสุข” จริงหรือ? โดยในหนังสือ The Happiness Hypothesis ของ Jonathan Haidt ตั้งข้อถกเถียงในเรื่องไว้ว่า ความรักและการทำงาน คือ สองสิ่งที่สำคัญมากสำหรับความสุขในชีวิตของมนุษย์ หากเราสามารถทำสองสิ่งนี้ได้ดี ความรักจะช่วยดึงเราออกจากความคิดที่เน้นการรักตัวเองเป็นความคิดที่เน้นความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างที่คุณรัก ส่วนการทำงานก็จะช่วยให้ชีวิตของเรายังมีความหมายที่ได้ทำภารกิจเพื่อส่งคมส่วนรวมมากกว่าเพื่อตัวคุณเองคนเดียวด้วยเช่นกัน
ชีวิตที่มีความสุขจึงเป็นการสร้างสมดุลระหว่างเรื่อง งาน, เงิน และ เวลา เราเลือกทำ “งาน” ที่เรารักและมีความหมายต่อชีวิตของเรา ตัดการทำงานที่ไม่จำเป็นออกเพื่อเพิ่ม “เวลา” จากนั้นเลือกนำ เงิน และ เวลา ที่ได้รับไปจัดสรรให้เหมาะสมเพื่อสร้างความสุขในระหว่างทางไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่เราตั้งไว้ เมื่อถึงที่เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินแล้ว เราก็ยังคงทำงานที่เรารักและเติมเต็มความหมายในชีวิตของเราต่อไป และไม่หยุดที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างจนวันสุดท้ายของชีวิต ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเคล็ดลับของการ “ใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด” เพื่อความสุขของชีวิตเราและคนที่เรารักนะครับ