โทนิค (Tonic) เป็นชื่อเครื่องดื่มที่เหล่าผู้ชื่นชอบดื่มแอลกอฮอล์ต้องรู้จักและเคยดื่ม หรืออย่างน้อยคนที่ไม่สนใจเรื่องเครื่องดื่มก็อาจเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง โทนิคเป็นเครื่องดื่มอัดแก๊ส โดดเด่นที่รสชาติขม ซึ่งใช้ผสมกับแอลกอฮอลได้หลายชนิดครับ
แต่ที่นิยมสุดคงจะเป็น Gin จึงกลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่เรียกว่า จินโทนิค (Gin Tonic) กว่าจะมาเป็น Tonic สำหรับผสมแอลกอฮอล์ที่หลายคนชื่นชอบในปัจจุบันนี้ ในอดีตเคยถูกใช้เพื่อรักษาโรคมาลาเรียมาก่อน เพราะการผสมโซดาช่วยให้การดื่มง่ายขึ้น เรื่องของโทนิคจากตอนนั้น ถึงปัจจุบันเป็นอย่างไร MenDetails ขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมกันครับ
โทนิค vs โซดา ความเหมือนที่แตกต่าง
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า โทนิคเป็นเครื่องดื่มอัดแก๊ส หลายคนอาจจะมีคำถามว่า แล้วมันต่างกับโซดาตรงไหน ทำไมไม่ใช้โซดาแทน
ถ้าให้เปรียบเทียบชัด ๆ โซดา เป็นน้ำเปล่าอัดแก๊ส แล้วแต่งกลิ่น แต่งรส เติมแร่ธาตุอื่น ๆ เข้าไปนิดหน่อย โดยมากมักจะมีรสเค็มนิด ๆ ในภาษาอังกฤษจะเรียกโซดาแบบนี้ว่า Club Soda นอกจากนี้ยังมีโซดาอีกประเภทที่เรียกว่า Seltzer หรือ Sparkling water ที่จะเป็นการเอาน้ำมาอัดแก๊ส แล้วไม่เติมแร่ธาตุอะไรเลย จะให้รสชาติของความเป็นน้ำมากกว่า ในปัจจุบันผู้ผลิตหลายเจ้าก็เริ่มมีการเติมกลิ่นผลไม้ต่าง ๆ เข้าไปด้วย
และยังมีน้ำอัดแก๊สอีกประเภทที่เราอยากให้รู้จักไว้ด้วยเลย คือ Sparkling mineral water จะต่างจากน้ำอัดแก๊สทั่วไปตรงที่น้ำพวกนี้จะเป็นน้ำจากแหล่งน้ำแร่ที่มีแก๊สอยู่แต่ต้น ไม่ต้องมาอัดแก๊สใส่ในภายหลัง ทำให้มีรสชาติเฉพาะตัวจากแต่ละแหล่ง
ส่วนโทนิคก็เป็นน้ำเปล่าอัดแก๊สเหมือนกัน แต่ความต่าง คือ โทนิคจะผสม ควินิน (Quinine) ลงไป และควินินนี่เองที่ทำให้โทนิคมีรสขมครับ ผู้ผลิตแต่ละแบรนด์ก็ใส่ควินินในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แต่อยู่ในปริมาณที่คนดื่มแล้วไม่ overdose (หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า cinchonism) นอกจากใส่ไม่เท่ากันแล้ว บางรายยังใช้ควินินปลอมด้วยครับ แล้วยังมีการใส่น้ำตาล หรือเติมรสชาติอื่น ๆ ลงไปเป็นโทนิครสชาติต่าง ๆ อีก
ควินิน พระเอกของโทนิค
แล้วควินินที่ถือเป็น “พระเอก” ของโทนิค มีที่มาจากไหน คำตอบคือ เดิมมันเป็นสารที่อยู่ในต้นไม้ชื่อ Cinchona ในแถบอเมริกาใต้ ชาวพื้นเมืองแถบประเทศเปรูใช้มันรักษาโรคมาแต่โบราณ โดยจะเอาเปลือกไม้มาบดผสมน้ำที่มีความหวานเพื่อกลบความขม คล้ายกับโทนิคในปัจจุบัน
ตอนที่ชาวสเปนไปเผยแพร่ศาสนาที่นั่นก็เอากลับมาด้วย เพื่อมาใช้เป็นยารักษาโรคเช่นกัน แล้วพัฒนาวิธีการใช้จนสกัดออกมาเป็นผงควินินได้ และในเวลาต่อมายังค้นพบด้วยว่า สารตัวนี้สามารถป้องกันโรคมาลาเรียได้
การใช้ควินิน มีส่วนช่วยชาวยุโรปที่ไปล่าอาณานิคมในประเทศเมืองร้อนอย่างมาก โดยเฉพาะแถบแอฟริกา ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องโรคมาลาเรีย เกิดการบริโภคในวงกว้าง ทำให้ต้น Cinchona ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทางยุโรปก็เลยต้องเอามาปลูกเอง จะติดปัญหาแค่รสของมันเวลาผสมกับน้ำแล้วขมมากจนยากแก่การจะดื่ม
ความขมของควินินถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับชาวยุโรปที่ไปล่าอาณานิคมทุกคน จนกระทั่งในต้นศตวรรษที่ 19 ทหารอังกฤษที่ไปประจำอยู่ในประเทศอินเดียก็มีความคิดที่เปลี่ยนแปลงการดื่มโทนิค และทำให้มันกลายเป็นเครื่องดื่มที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
การกำเนิดของโทนิค จากทหารอังกฤษ
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ช่วงที่อังกฤษกำลังขยายอาณานิคมไปในประเทศต่าง ๆ บนโลก หนึ่งในนั้นคืออินเดีย ที่มีทหารอังกฤษถูกส่งไปประจำการอยู่เต็มไปหมด และในยุคนั้น ความเป็นป่าเขตร้อน ทำให้โรคมาลาเรียเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอ
ทางการอังกฤษจะส่งผงควินินให้เหล่าทหารเพื่อใช้ป้องกันและรักษาโรคมาลาเรีย แต่อย่างที่กล่าวไปว่า มันมีรสขมมาก ทหารอังกฤษจึงเกิดไอเดียสุดล้ำ ในเมื่อผสมกับน้ำเปล่าแล้วมันขม ก็ลองผสมกับโซดาดู จะได้กินง่ายขึ้น ไป ๆ มา ๆ ก็เลยลองเติมน้ำตาลลงไปนิดหน่อย ตัดความขมด้วยเลย สรุปคือเข้าท่า การกินยาควินินไม่ใช่เรื่องที่ต้องกล้ำกลืนดื่มน้ำขม ๆ อีกต่อไป
เท่านั้นยังไม่พอ ยังเริ่มมีการผสมเหล้า Gin ที่ชาวอังกฤษชื่นชอบลงไปในน้ำควินินที่ผสมโซดากับน้ำตาลแล้วด้วย ดื่มแล้วยิ่งติดใจ จนเกิดเป็น Gin Tonic ที่เราดื่มกันในปัจจุบัน
ในตอนนั้น น้ำควินินที่ผสมโซดากับน้ำตาล ยังเป็นแบบที่คนเอามาผสมเอง แต่โทนิคที่ทำออกมาขายจริงจังครั้งแรก เกิดขึ้นในปี 1858 ครับ จากชายชื่อ Erasmus Bond ได้จดทะเบียนโทนิคอย่างเป็นทางการ ทำให้ Erasmus Bond ถือเป็นคนแรกที่ให้กำเนิดโทนิคที่ใช้ในการดื่ม ไม่ใช่เพื่อการรักษา และแบรนด์เครื่องดื่มของเขา ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน ก่อนที่ในอีก 10 กว่าปีต่อมา จะตามด้วยบริษัท Schweppes ของ Johann Jacob Schweppe ที่คิดค้นสูตรเครื่องดื่มควินินที่ infused มะนาวเข้าไป กลายเป็นเครื่องดื่มสร้างชื่อของ Schweppes จนถึงวันนี้
สำหรับโทนิคที่วางขายในตลาด จะมีปริมาณของควินินที่เจือจางมาก เพราะไม่มีจุดประสงค์ในการรักษาโรค จึงใส่ควินินเพื่อเอารสชาติเท่านั้น ในหลายครั้งเราอาจจะเห็นคำว่า Indian tonic water แทน ซึ่งไม่ต่างจากโทนิคทั่วไป แต่ที่เรียกเช่นนั้นเพราะว่ามันเป็นที่นิยมเริ่มจากในอินเดีย จึงเรียกมันว่า Indian tonic water ในบางแบรนด์อาจจะมีการใช้น้ำเชื่อมแทนน้ำกับน้ำตาล ทำให้เราเรียกมันว่า Tonic syrup ได้ด้วย
และจากวันนั้นถึงวันนี้ โทนิคก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ มีแบรนด์เกิดขึ้นมามากมาย มีการสร้างรสชาติใหม่ ทำให้เอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ต่างกันไป เพื่อรับกับแบรนด์แอลกอฮอลใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเป็นตัวเลือกให้บาร์ต่าง ๆ ใช้ในการสร้าง Cocktail ของตัวเอง ทำให้โทนิคยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายในฐานะที่มันใช้ผสมกับเครื่องดื่มอื่น ๆ เพื่อสร้างรสชาติและให้ความสดชื่นครับ
นอกจากใช้ผสมกับ Gin แล้ว โทนิคยังสามารถผสมกับเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้อีก ไม่ว่าจะเป็น Vodka, Tequilaไปจนถึงใส่ผลไม้รสเปรี้ยวอย่างมะนาว สตอเบอร์รี่ลงไป ก็กลายเป็นเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลดับความร้อนของอากาศประเทศไทยได้ครับ
ใครที่ชื่นชอบดื่มแอลกอฮอล์ แล้วยังไม่เคยลองใช้โทนิคผสม ครั้งหน้าลองเปลี่ยนจากโซดามาเป็นโทนิคดู อาจจะได้สัมผัสรสชาติใหม่ และชื่นชอบมันก็เป็นได้ครับ ส่วนใครที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์อาจจะลองผสมกับผลไม้ที่บอกไปข้างต้น อาจจะเครื่องดื่มได้ใหม่ที่ถูกใจเพิ่มมาอีกแก้ว