หลังจากโควิด 19 ผ่านพ้นไป การท่องเที่ยวระหว่างประเทศก็กลับมาคึกคักอย่างมาก เพราะหลายคนเก็บกดมานานอย่างออกไปสัมผัสสถานที่ใหม่ ๆ ทำให้ประเทศยอดนิยมต่าง ๆ ที่เพิ่งเริ่มเปิดประเทศเต็มไปด้วยนักเที่ยว และอาจทำให้การไปเที่ยวของเราไม่สนุกเท่าที่ควร และสำหรับใครที่กำลังมองหาประเทศที่ไปเที่ยวได้ง่าย ๆ ค่าเงินถูก เที่ยวเวียดนาม ในช่วงนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ
ไม่นานมานี้ MenDetails มีโอกาสไปเยือนเวียดนามกลางอย่าง ดานัง และฮอยอันช่วงวันหยุดสั้น ๆ 3 วัน 2 คืน แบบวางแผนการเที่ยวเอง เราเก็บภาพและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับมาฝากเผื่อใครที่อยากจะไปเที่ยวด้วยตัวเองครับ โดยเราจะแบ่งเป็น 2 ตอน คือ ดานัง กับ ฮอยอันครับ และในส่วนแรกนี้จะพูดถึง 2 วันแรกที่อยู่อยู่ในดานัง เราไปไหน กินอะไรมาบ้าง เราเอามาฝากทุกท่านแล้ว
ลองกิน Bo Ne เป็นอาหารเช้า
ปกติถ้าเราไปพักโรงแรม หรือไปกับทัวร์ เรามักจะได้กินอาหารเช้าของโรงแรม ที่จะเป็นอาหารสไตล์ตะวันตก ผสมกับอาหารเวียดนามทั่ว ๆ ไปที่คนไทยอย่างเรารู้จัก เช่น เฝอ เปาะเปี๊ยะ แต่ถ้าเรามาเที่ยวเองแล้วอยากให้เผื่อที่ว่างในท้องจากอาหารโรงแรมสักนิด เพราะมีอาหารเช้าเมนู Local เมนูหนึ่งที่คนเวียดนามนิยมกินกัน เป็นได้ทั้งมื้อเช้าและมื้อสาย เรียกว่า Bo Ne ครับ
Bo Ne ถ้าให้จำกัดความง่าย ๆ มันคือเนื้อย่างกระทะร้อนครับ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เอาเนื้อไปย่างบนจานร้อน ๆ แล้วใส่เครื่องต่าง ๆ ลงไปตามแต่ละร้าน ทั้งเนื้อ หมูหมัก ไข่ ไส้กรอก ชีส ราดด้วยซอสของแต่ละร้าน ด้วยความที่เป็นอาหารจานร้อนจึงเป็นที่มาของชื่ออาหาร Bo แปลว่าเนื้อ Ne คือหลบ Bo Ne จึงเหมือนกับการที่เราต้องหลบน้ำมันที่กระเด็นออกมา เป็นอาหาร Local แบบบ้าน ๆ ที่หากินได้ทั่วประเทศ และถ้าให้อร่อยแนะนำให้กินกับ Bánh mì (ขนมปังบาแกต) ด้วยครับ และถ้าใครอยากจะใส่ซอสถั่วเหลืองหรือซอสพริกเพิ่มความอร่อยก็ได้เช่นกัน เป็นอาหารที่ทำให้เราอิ่มท้องตลอดเช้าได้แน่นอน
สำหรับในดานังที่เราได้ไปกินกันนั้น มีร้านที่คนท้องถิ่นนิยมไปกินอยู่ชื่อว่า Bò né Quốc Minh เปิดกันตั้งแต่หกโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมงครับ เราไปถึงวันแรกเครื่องลงตอนเช้าก็มุ่งหน้าหาร้านทันทีเพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้ามา เนื้อย่างหอม ๆ บนจานร้อน ๆ นี่กระตุ้นความหิวเราได้มากครับ แต่ร้านนี้เป็นร้านที่ Local มาก พูดภาษาอังกฤษสื่อสารไม่ได้ เราก็ให้พี่ฟางคนขับรถชาวเวียดนามที่เขาขับรถรับส่งลูกค้าชาวไทย (แถมพูดไทยได้) ที่มาเที่ยวเองแบบเราสั่งให้ครับ
Mi Quang กับ Bun Bo อาหารจานเส้นที่ห้ามพลาด
อาหารเส้นของเวียดนาม หลายคนน่าจะนึกถึงเฝอ แต่ถ้ามาแถวดานัง ฮอยอัน (รวมถึงเว้) ที่นี่มีอาหารจานเส้นอีกหลายแบบที่เราอยากให้ได้ลอง ที่จะเปิดโลกอาหารเวียดนามให้เราได้รู้จักมากยิ่งขึ้นว่าเขาไม่ได้มีทีเด็ดแค่เฝอ
เริ่มจาก Bun Bo กันก่อนครับ มันมีต้นกำเนิดที่เมืองเว้ที่อยู่ใกล้ ๆ ดานัง ทำให้ดานังกับฮอยอันนั้นได้รับอิทธิพลมาโดยตรงและสามารถหากินได้ง่ายมาก ๆ แถมให้เยอะและอร่อยด้วย (ส่วนจังหวัดอื่น ๆ อาจมีการปรับแต่งสูตรต่างกันไป) ถ้าเรียกง่าย ๆ มันคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อครับ Bun คือชื่อเรียกของเส้นที่คล้ายขนมจีนแต่จะมีความหนาและเหนียมนุ่มมากกว่า ส่วน Bo ก็อย่างที่กล่าวไปในหัวข้อที่แล้วว่าคือเนื้อ โดยเขาจะทำน้ำซุปจากการต้มกระดูกและเนื้อส่วนต้นขา หาง ให้เปื่อย ใส่สมุนไพร แล้วปรุงรสให้มีความเผ็ด เวลาเสิร์ฟก็จะมีผักคล้ายก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นบ้านเราวางมาให้ด้วย พร้อมกับกะปิ ซุปจะหอเนื้อเป็นซุปใส มีความเผ็ดน้อย ๆ และมักจะมีผักอย่างหัวหอมใส่มาให้แล้ว เป็นอาหารที่รสชาติเข้มข้น หนักหน่วง เหตุผลหนึ่งเพราะว่าเว้เป็นเมืองหลวงเก่าและเป็นเมืองที่เรื่องเกี่ยวกับอาหารพัฒนามากกว่าเมืองใดเพื่อทำอาหารให้ถูกปากคนชั้นสูง ทำให้ Bun Bo มีรสชาติที่เข้มข้นนั่นเอง
ต่อมาคือ Mi Quang เป็นอาหารท้องถิ่นที่มีต้นกำเนิดและหากินได้ทั่วไปในจังหวัด Quảng Nam ทางตอนกลางของเวียดนาม และเมืองดานังก็อยู่ในภูมิภาคนี้ แม้ถ้าดูตามการแบ่งเขตปกครองแล้วเมืองดานังจะขึ้นอยู่กับส่วนกลางก็ตาม ทำให้ Mi Quang หากินได้ในดานังครับ เส้นของ Mi Quang ทำจากข้าว ใส่เครื่องต่าง ๆ มากมายทั้งเนื้อสัตว์ (หมู เนื้อ กุ้ง ฯลฯ) ผักสด แล้วแต่ว่าร้านไหนจะใส่อะไร เพราะแต่ละร้านก็จะใส่ไม่เหมือนกัน ในสมัยโบราณถ้าไปสั่งอาหารจานนี้เจ้าของร้านมีอะไรในวันนั้นเขาก็จะใส่มาให้ที่มีนั่นล่ะครับ แล้วก็อาจจะมีน้ำซุปขลุกขลิกนิดหน่อยอารมณ์กินบะหมี่แห้งบ้านเราที่มีน้ำเยอะกว่า เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดจากเมืองฮอยอัน ในช่วงศตวรรษที่ 16 เป็นเมนูบ้าน ๆ ของชาวบ้านทั่วไป และเป็นเมนูที่เก่าแก่กว่าเฝอเสียอีก
ใครที่อยากกินอาหารจานเส้นทั้งสองอย่างนี้แต่ไม่รู้ว่ากินร้านไหนดี จะกินร้านข้างทางก็กลัวไม่อร่อย พูดกันไม่รู้เรื่อง พี่ฟางของเราก็บอกว่าถ้าอยากกินร้านดี ๆ และราคาไม่แพง รสชาติถูกปากคนเวียดนามและคนต่างชาติ Madame Lân เป็นร้านที่ไว้ใจได้ครับ นอกจากอาหารเส้นแล้ว อาหารเวียดนามเมนูอื่น ๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน พวกอาหารที่ต้องเอาแผ่นแป้งข้าวเจ้าของเวียดนามมาห่อกิน พนักงานในร้านก็มีทำให้เราดูด้วยครับ พวกเปาะเปี๊ยะ ขนมเบื้องญวน (ที่เวียดนามเรียก Bánh xèo) แบบที่คนไทยเรากิน ๆ กันนี่ คนเวียดนามเขาจะเอาไปห่อ ใส่ผักนู่นนี่กันอีกทีหนึ่งด้วย แอบเป็น Culture Shocked สำหรับเราเบา ๆ หรือใครอยากจะลองกินจากร้านข้างทางก็มองหาร้านที่มีคำว่า Mi Quang กับ Bun Bo ดูครับ หาไม่ยาก
Seafood ราคาสบายกระเป๋า มาแล้วต้องได้กิน!
มาดานังถ้าไม่ได้กินอาหารทะเลถือว่าพลาดมาก ๆ เพราะอาหารทะเลที่นี่ทั้งหาง่าย ราคาถูก และรสชาติอร่อย เรียกว่าจับขึ้นจากทะเลปุ๊บก็พร้อมขายเลย ทั้งปลา หอย กุ้ง แต่ในบรรดาร้านต่าง ๆ พี่ฟางคนดีคนเดิมของเราก็บอกว่ามีหลายร้านที่นักท่องเที่ยวนิยมมากินแต่ราคาแพงกว่าที่คนเวียดนามกิน
อาหารทะเลของดานังที่ขึ้นชื่อจริง ๆ คือ หอย (Oc) ครับ จะเป็นพวกหอยต่าง ๆ แต่ที่เห็นเยอะจะเป็นหอยหวาน หรือพวก Sea Snail มีทั้งเอาไปย่าง ต้ม อบ หอยตัวใหญ่ ๆ เนื้อหวาน ๆ จะจิ้มกับเกลือเฉย ๆ ก็ได้ หรืออาจจะน้ำจิ้มรสออกหวานปนเปรี้ยวเผ็ดเล็กน้อย พวกกุ้งเองก็หากินง่ายเช่นกันครับ ล็อบสเตอร์หรือกุ้งตัวใหญ่ ๆ ในราคาไม่แพง
เนื่องจากเราไปแค่ 3 วัน 2 คืน และคืนที่ 2 เราไปนอนฮอยอัน ดังนั้นเราจึงไม่มีเวลาไปเก็บร้านอาหารทะเลเด็ด ๆ ของดานังมากนัก เพราะแค่มื้อเช้ากับมื้อเที่ยงก็ตะลอนกินเมนู Local อื่น ๆ ไปแล้ว อาหารทะเลที่เราได้กินจึงเป็นที่ตลาดกลางคืนใกล้กับสะพานมังกรและโรงแรมที่เราพักอยู่ครับ (กับที่ร้าน Madame Lân ที่มีเมนูหอย Oc ที่เราสั่งมานั่งดูเนื้อหอยกันอย่างเอร็ดอร่อย) คนขาย ขายเก่งเหลือเกิน ราคาก็ไม่แพง มีขายเป็น Set เราจ่ายไป 900000 ดอง (ประมาณ 1300 บาท) แต่ได้ทั้งกุ้ง ปลาหมึก หอย และกุ้งล็อบสเตอร์อีกสองตัว เลือกได้ว่าจะเอาไปย่าง หม้อไฟต้มยำ หรือทั้งสองอย่าง นอกจากนั้นในตลาดกลางคืนยังมีร้านอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย พวกบาร์บีคิวเวียดนาม (ซึ่งถ้ามีที่ในท้องเหลือก็อยากให้ลองสักไม้สองไม้) หรือ อาหารจานเส้นอย่าง Mi Quang ก็หากินได้ที่นี่เช่นกัน
หากใครมาวันหยุดสุดสัปดาห์ เวลากลางคืนแถวสะพานมังกรจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะเขามารอดูการพ่นไฟของสะพานมังกรครับ รวมถึงปลามังกรที่ทำเลียนแบบเมอร์ไลอ้อนของสิงคโปร์ที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็มีพ่นน้ำโชว์ด้วย
พวกคนไทยที่มาเที่ยวเองก็จะเลือกพักในโรงแรมใกล้ ๆ ตลาดกลางคืน ส่วนเราเลือกโรงแรมที่ใหม่ขึ้นมาหน่อยและอยู่อีกฝั่งแม่น้ำ ชื่อว่า Cozy Da Nang Boutique Hotel ตอนกลางคืนเดินข้ามแม่น้ำไปตลาดกลางคืนก็ได้อีกอารมณ์ครับ และในย่านแถวโรงแรมก็มีร้านอาหารอื่น ๆ อีกมากมายเช่นกัน ใครที่ไปแล้วมองหาที่พักใหม่ ๆ โรงแรมนี้เราขอแนะนำครับ ตอนเราไปก็มีแขกคนไทยอยู่บ้างเหมือนกันแต่ไม่เยอะ
Ba Na Hill ไฮไลท์เด็ดของดานัง
พูดถึงเรื่องของกินไปแล้ว มาพูดเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวกันบ้าง แน่นอนว่าไฮไลท์เด็ดของดานังที่ต้องมาคือ Ba Na Hill ครับ เราขอแนะนำให้จองตั๋วขึ้นไปก่อนจากไทยเพื่อความสะดวกรวดเร็ว แต่ถ้าไปช่วงที่ไม่ใช่ high Season มาก และไปช่วงเช้าสักแปดโมง คนจะยังไม่เยอะเราสามารถซื้อตั๋วที่ห้องขายได้โดยไม่ต้องรอคิวครับ แต่ถ้ามาสายนอกจากจะต้องต่อคิวขึ้นกระเช้าเบียดเสียดกับกรุ๊ปทัวร์แล้ว ยังต้องเสียเวลาไปต่อคิวซื้อตั๋วด้วย และเวลาเดินทางต้องเผื่อเวลาออกจากโรงแรมด้วยนะครับ เพราะมันอยู่นอกตัวเมืองต้องใช้เวลาเดินทางอีกราว ๆ 40 นาที
Ba Na Hill เดิมเป็นแหล่งพักผ่อนของชาวฝรั่งเศสที่มาตั้งอาณานิคมในเวียดนาม ก่อตั้งในปี 1919 ชื่อ Ba Na นั้นมาจากคำว่า Banana หรือกล้วยที่ขึ้นอยู่มากในบริเวณนั้น เป็นแหล่งพักผ่อนหนีอากาศร้อนของชาวฝรั่งเศส เพราะตัวที่พักตั้งอยู่บนเขาสูงทำให้มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี แต่ต่อมาด้วยสงครามและปัจจัยหลายอย่างทำให้ถูกปล่อยทิ้งและเสื่อมโทรมจนเข้าสู่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ทางเวียดนามจึงกลับมาดูแลและฟื้นฟูที่นี่อีกครั้งโดยการปรับปรุง ซ่อมแซม และขยายบริเวณทำให้มันเป็นธีมปาร์คดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก
ไฮไลท์แรกของ Ba Na Hill อยู่ที่กระเช้าสำหรับขึ้นเขาครับ ปัจจุบันครองสถิติโลกกระเช้าที่ระยะทางยาวที่สุดในโลก ข้ามเขาหลายลูก ดังนั้นรับประกันได้เลยว่าวิวที่เห็นบนกระเช้าสวยมากแน่นอน แม้อาจจะมีบางวันหรือบางช่วงที่มีหมอกลงเยอะจัดแบบช่วงที่เราไป แต่นั่นก็เป็นความสวยงามอีกแบบครับ เมื่อขึ้นมาถึงแล้วจะเจอกับส่วนสะพาน Golden Bridge กับสวนดอกไม้เป็นสถานีแรก ซึ่งเป็นสถานที่เพิ่งใหม่ได้ไม่กี่ปี ก่อนหน้าโควิดไม่นาน ทำให้ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งคนต่างชาติและเวียดนามหลั่งไหลเข้าไปชม เราแนะนำให้อย่าเพลินถ่ายรูปส่วนสะพานและสวนนานนัก เพราะไฮไลท์หลักจริง ๆ จะอยู่บนเขาขึ้นไปอีก ต้องนั่งรถกระเช้าขึ้นไปอีกต่อหนึ่ง
และไฮไลท์นั้นก็คือ French Village หรือหมู่บ้านฝรั่งเศสนั่นเอง ที่นี่จะคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีจุดถ่ายรูปมากมาย และให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ไปเดินในเมืองเก่าของยุโรปสักเมือง ด้วยการออกแบบตัวอาคารให้ได้บรรยากาศแบบยุโรป และยังมีร้านอาหารนานาชาติให้เลือกเดินเข้าไปนั่งกิน กับมีโซนสวนสนุกให้เข้าไปเล่น ถ้าหากใครโชคดีข้างบนนี้มีโรงแรม Mercure ให้เข้าพัก เป็นโรงแรมเดียวเราจะสามารถค้างคืนข้างบนเขาได้ สามารถเดินถ่ายรูปกันได้จุใจ แต่หากไม่ได้พักบนโรงแรมจะต้องลงเขาช่วงห้าโมงเย็น ใครจะไปต้องเช็คดูว่าโรงแรมเต็มหรือไม่ อย่างเราโชคไม่ดีนักที่โรงแรมเต็มจึงมุ่งหน้าไปฮอยอันตั้งแต่ช่วงเย็นเลย
ที่เราไปล่าสุดยังเห็นมีการขยับขยายส่วนต่าง ๆ เพิ่มเติมอยู่อีก คิดว่าหากกลับมาในอีกสองสามปีข้างหน้า Ba Na Hill น่าจะมีอะไรใหม่ ๆ มากขึ้นอีกแน่นอน และเราขอแนะนำว่าหากซื้อเป็น Package มาจากพวกเว็บท่องเที่ยว ให้ซื้อแค่บัตรมาอย่างเดียวดีกว่า เพราะร้านอาหารที่อยู่ใน Package จะเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ที่รองรับทัวร์ด้วย คนจะเยอะและรสชาติอาหารก็กลาง ๆ เราไปเลือกกินร้านอื่นที่เราอยากกินจะดีกว่าครับ
สถานที่เที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เที่ยวเวียดนาม ครั้งนี้ นอกจาก Ba Na Hill ที่เราไปในวันที่สอง ดานังยังสถานที่เที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจอยู่อีก โดยเราก็แวะเวียนไปตั้งแต่ในวันแรกที่มาถึง และขอหยิบมาเล่าให้ฟังสั้น ๆ สำหรับคนที่มาพักดานังและอยากเที่ยวในตัวเมืองบ้าง
หากใครที่ชื่นชอบโบราณวัตถุและประวัติศาสตร์ อารยธรรมโบราณ พิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม (Da Nang Museum of Cham Sculpture) เป็นสถานที่ที่น่ามาเดินชมโบราณวัตถุครับ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ตั้งแต่ 1919 ที่เวียดนามยังเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสอยู่ ที่นี่รวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปะ หินแกะสลักของชาวจามไว้มากมาย ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 7 หลายชิ้นยังอยู่ในสภาพดีมาก ๆ การเดินที่นี่จึงทำให้เราได้เห็นและซึมซับเรื่องราวของอารยธรรมโบราณที่เป็นรากฐานให้กับปัจจุบันครับ
หรือหากใครอยากขึ้นเขา ชมธรรมชาติ และรูปปั้นทางศาสนา ภูเขาหินอ่อน เป็นอีกทีที่เราอยากให้มา เป็นภูเขา 5 ลูกที่มีความเกี่ยวข้องกับตำนานความเชื่อของชาวเมืองดานัง แต่ละลูกแทนธาตุต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นจักรวาล รับการตั้งชื่อจากกษัตริย์มินห์หม่าง โดยลูกที่ได้รับความนิยมที่สุดเป็น Thuy Son (ภูเขาธาตุน้ำ) ที่สูงที่สุดและสวยงามที่สุดครับ ในช่วงสงครามเวียดนามภูเขาแห่งนี้ยังเป็นที่หลบภัยของชาวเมืองอีกด้วย เราแนะนำว่ามาแค่ลูกนี้ลูกเดียวก็คุ้มแล้ว เพราะมีครบทั้งวัด เจดีย์ ธรรมชาติ ซึ่งอาจจะใช้เวลาราวครึ่งวัน แต่ถ้าใครไม่มีเวลาหรือเดินขึ้นไม่ไหวแบบเรา เผื่อไว้สักหนึ่งชั่วโมงก็ดีครับ เพราะเราก็เดินเข้าไปได้ราว ๆ ครึ่งทางเท่านั้นเอง หากจะไปถึงยอดสุดคงไม่ไหว เป็นเรื่องที่เราแอบเสียดายไม่น้อย
ภูเขาหินอ่อนนี้สามารถเดินขึ้นบันไดไปได้ แต่จะชันสักนิดต้องระวัง หากใครไม่ไหวเขาก็มีลิฟต์แก้วให้เราซื้อตั๋วขึ้นไปถึงวัดด้านบน (แต่เป็นแค่ช่วงต้น ๆ เขา ที่ถ้าเดินขึ้นไปอีกก็เจอวัดและรูปปั้นอื่น ๆ อีก) ตอนที่เราไปลิฟต์ไม่เปิดจึงต้องเดินกันขึ้นไปครับ แม้จะเหนื่อยแต่วิวข้างบนและสิ่งก่อสร้างเก่านั้นสวยงามมาก ทั้งพระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำเล็กถ้ำน้อย วัดด้านบน และวิวที่มองออกไปเห็นทะเลจีนใต้นั้นกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
อีกสิ่งหนึ่งที่เรามักจะเห็นตามวัดในดานังคือ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมครับ เพราะชาวเมืองดานังมีความผูกพันกับเจ้าแม่กวนอิมมาก เพราะเขาเชื่อว่าเจ้าแม่กวนอิมคอยคุ้มครองพวกเขาเวลาออกทะเลรวมถึงภัยธรรมชาติจากทะเล หากใครที่มีเวลาเราแนะนำให้เดินทางไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่ วัด Linh Ung วัดที่ใหญ่ที่สุดของดานังและยังเป็นที่ตั้งของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ติดอันดับโลก โดยรูปปั้นจะหันหน้าออกไปยังทะเลด้วยความเชื่อว่าเป็นการคุ้มครองเหล่านักเดินเรือ
นี่เป็นแค่การเดินทาง เที่ยวเวียดนาม ราวหนึ่งวันกับอีกครึ่งของเราเท่านั้น ต้องบอกว่าเราแอบเสียดายมาก ๆ ที่ไม่มีโอกาสออกไปนอกเมืองที่มีสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์น่าสนใจอื่น ๆ แต่ว่าเรายังมีอีกครึ่งทริปที่ฮอยอันที่ต้องเดินทาง ซึ่งคงต้องขอยกยอดไปต่อใน Part 2 ครับ เพราะในฮอยอันเองก็มีทั้งที่เที่ยวและอาหารการกินที่เราอยากบอกเล่า และน่าสนใจไม่แพ้ดานังเลย เราจะพบเจออะไรบ้างนั้นรอติดตามกันได้ครับ
นอกจากดานัง – ฮอยอันในเวียดนามกลางแล้ว เรายังมีบทความ One day trip ไปยังโฮจิมินห์ด้วยนะครับ ใครที่วางแผนจะไปก็อ่านประกอบทริปได้เช่นกันครับ