ปัจจุบันอำเภอ เชียงคาน จังหวัดเลย ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อลมหนาวพัดมา หลายคนจึงออกเดินทางไปพักผ่อนที่เชียงคาน สัมผัสความ Slow life ความชิล ความ Local และเอกลักษณ์ของชาวบ้านที่ยังไม่ถูกเปลี่ยนไปเพราะกระแสจากการท่องเที่ยวมากนัก รวมถึงถ่ายรูปสวย ๆ กับบ้านเรือนและบรรยากาศสวยงามริมฝั่งแม่น้ำโขง
ปีนี้เมื่อลมหนาวพัดเข้าสู่ประเทศไทย MenDetails ก็ออกเดินทางไปพักผ่อนที่เชียงคานเช่นกัน โดยการไปของเราในครั้งนี้ นอกจากไปไหว้พระนิด ๆ หน่อย ๆ เดินถนนคนเดินตอนกลางคืนแล้ว เป้าหมายหลัก ๆ คือ การไปตามล่าร้านอาหาร Local รสเด็ด เพื่อสัมผัสว่าคนท้องถิ่นเขากินอะไรกัน เรียกได้ว่าเป็นทริปกิน (และนอน) ของจริง ในการไปตามล่าร้านอาหารครั้งนี้ เราได้กินอาหารอะไร ร้านไหนบ้าง ขอนำมาบอกเล่าเป็นลายแทงให้คนที่จะเดินทางไปเชียงคานได้รู้จักและไปตามรอยกัน
บะหมี่เฟื่องฟ้า ร้านเก่าแก่คู่ เชียงคาน
บะหมี่เฟื่องฟ้า ได้ชื่อว่าเป็น บะหมี่โบราณคู่เมืองเชียงคาน เพราะเปิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2511 จนถึงตอนนี้ก็เปิดมา 50 กว่าปีแล้ว มีการปรับปรุงร้านให้ดูร่วมสมัย น่าถ่ายรูปมากยิ่งขึ้นจากการใช้ปูนเปลือย นี่เป็นร้านบะหมี่ที่สืบทอดความอร่อยมาจากรุ่นสู่รุ่น มีทั้งหมูแดง หมูกรอบ หมูตุ๋น เกี๊ยวกุ้ง ให้เลือกสั่ง มีทั้งข้าวและเส้น จะแห้งจะน้ำ ต้มยำหรือไม่ยำ ก็สั่งได้ตามใจชอบ
แต่ที่ห้ามพลาดคือเส้นบะหมี่ที่ทางร้านตีเอง มี texture ที่พิเศษไม่เหมือนใคร เอาไปคลุกมันหมูนิด ๆ ตัวเส้นจะมีความลื่น เหนียว นุ่ม ไม่ว่าจะกินแบบแห้งหรือน้ำ สูดได้เพลินมาก ๆ ไหน ๆ มาแล้วเราก็จัดไปแห้งชาม น้ำชาม อร่อยทั้งสองแบบครับ เสียดายที่วันนั้นเรามาบ่ายไปนิดร้านเลยเหลือแค่เกี๊ยวกับหมูแดง
ร้านอยู่ในถนนศรีเชียงคาน ถนนใหญ่ถัดมาจากซอยถนนคนเดิน แถวปากซอย 9 จุดสังเกตคืออยู่ข้าง 7-11 เปิดขายกันตั้งแต่เช้า 07.00 – 15.00 น. ถ้าไปบ่ายมากอาจจะมีของหมด ใครอยากกินบะหมี่สูตรโบราณนี้อาจต้องรีบไปตั้งแต่เที่ยงนะครับ
กลุ่มสตรีอาหารพื้นเมืองแก่งคุดคู้
ขับรถเลยจากตัวอำเภอเชียงคานมาไม่ไกล เราจะเจอกับ “แก่งคุดคู้” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวและขุดชมวิวริมโขงของเชียงคาน ที่นี่ในสถานการณ์ปกติที่ไม่มีโควิด จะมีเรือข้ามฟากไปยังฝั่งลาวอีกด้วย และแก่งคุดคู้แห่งนี้นอกจากจะมีวิวที่สวยงาม และเรื่องเล่าตำนานที่น่าสนใจแล้ว บริเวณนี้ยังมีร้านอาหารพื้นเมืองอร่อย ๆ ให้ได้ลิ้มลองด้วย สำหรับการมาครั้งนี้เราเลือกที่จะไปฝากท้องไว้ที่ร้าน กลุ่มสตรีอาหารพื้นเมืองแก่งคุดคู้
ตัวร้านเป็นแบบหลังคาสังกะสีเปิดโล่ง ติดริมแม่น้ำโขง กินไปดูวิวแม่น้ำโขงไป มีที่นั่งทั้งแบบพื้นเสื่อ และแบบโต๊ะ แต่วันที่เราไปส่วนที่เป็นพื้นเสื่อไม่ได้เปิดให้คนลงไปนั่ง คนทำอาหารกับพนักงานร้านก็คือเหล่าภรรยาของคนบริเวณนั้นที่มารวมตัวกันช่วยกันทำอาหารขาย ขึ้นชื่อว่าอาหารพื้นเมืองก็เลยมีอาหารอีสานแบบจัดเต็ม รวมถึงอาหารจากวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นอย่างพวกปลาต่าง ๆ ครั้งนี้เราสั่งกันหลายอย่าง ทั้งเนื้อย่าง หมูย่างน้ำตก ต้มยำปลาคัง แต่ที่เราประทับใจและไม่อยากให้พลาด คือ ปลานิลย่าง ปลานิลตัวใหญ่เนื้อหวานย่างเกลือกลิ่นหอมฉุย กินร้อน ๆ กับข้าวเหนียว อร่อยแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้ม และ กุ้งแพทอด กินกับอาจาดหวาน ๆ เป็นเมนูขึ้นชื่อ และหากใครชอบกินกุ้งเต้น ร้านนี้ก็มีกุ้งเต้นเป็นอีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อ ร้านเปิดตั้งแต่ 08.00 – 18.00 น. เลยครับ ใครผ่านไปแถวแก่งคุดคู้ก็ไปฝากท้องที่ร้านนี้กันได้
ร้านป้าบัวหวาน ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว
มาถึง เชียงคาน แล้ว ถ้าใครไม่ได้กินอาหารที่เรียกว่า ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว ก็คงเหมือนมาไม่ถึง เพราะอาหารชนิดนี้เป็นอาหารท้องถิ่นของคนเชียงคานมานาน เป็นอาหารที่เกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมจากฝั่งลาว คือ ข้าวปุ้น (ขนมจีนแบบลาว เส้นจะเล็กกว่าขนมจีนบ้านเรา) และ น้ำแจ่ว หรือน้ำพริกจากอีสานเข้าด้วยกัน เกิดเป็นอาหารชนิดนี้ครับ ในเชียงคานมีร้านข้าวปุ้นน้ำแจ่วอยู่หลายร้าน แต่ถ้าพูดถึงร้านที่สืบทอดสูตรดั้งเดิมตามแบบฉบับที่คนเชียงคานกินมาแต่ครั้งอดีต ก็ต้องเป็นร้านป้าบัวหวานนี่ล่ะครับ
ข้าวปุ้นน้ำแจ่วนี้ ว่าง่าย ๆ ก็คือ ขนมจีนในต้มเครื่องในหมู ใส่เครื่องในหมูทั้งตับ ไส้ หัวใจ และผักต่าง ๆ ปกติคนเชียงคานกินเป็นอาหารเช้า โดยร้านป้าบัวหวานนี้เป็นร้านที่สืบทอดสูตรของคนเชียงคานแท้ ๆ ซุปใสที่เคี่ยวจนหอมจนได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน กับเครื่องในต้มสุกที่ไม่มีกลิ่นคาว ใส่ให้มาเต็มชามแบบไม่เกรงใจ ตัวข้าวปุ้นน้ำแจ่วจะเสิร์ฟมาแบบไม่ปรุง ให้คนกินปรุงเอง จะใส่มะนาวเพิ่มความเปรี้ยว กะปิเพิ่มความเค็มและกลิ่นหอม หรือถ้าใครอยากให้เป็นน้ำแจ่วสมชื่อ ก็ใส่พริกตำลงไป เท่านี้ก็อร่อยกับข้าวปุ้นน้ำแจ่วได้แล้ว ตัวร้านเป็นแบบบ้าน ๆ อยู่ในซอยศรีเชียงคาน 14 เดินเข้ามาในซอยจากถนนใหญ่ราว 200 เมตร ใครที่พักอยู่ในเส้นถนนคนเดินก็เดินมาได้เลย ร้านเปิดตั้งแต่ 07.30 น. พอสักบ่ายโมงก็ปิดแล้วครับ
จุ่มนัว ยายพัด
ร้านอาหารที่อยู่เชียงคานมานานกว่า 70 ปี และเมนูจุ่มนัว เป็นเมนูที่หากินได้ที่เชียงคานแห่งนี้ และที่ร้านนี้เท่านั้น เป็นสูตรที่คุณยายพัดเจ้าของร้านสืบทอดมาจากแม่ นำมาปรับปรุงสูตรใหม่เล็กน้อย ใครที่ได้ยินชื่อ จุ่มนัว ครั้งแรกน่าจะนำว่าเป็นอาหารแบบจิ้มจุ่ม แต่จริง ๆ แล้วมันจะมีความคล้ายกับอาหารไทย (ที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน) หากินยากอีกชนิดที่เรียกว่า “ลงสรง” ส่วนในสายตาคนทั่ว ๆ ไปน่าจะมองว่ามันคล้ายสุกี้เสียมากกว่า ส่วนคำว่าจุ่มนัวที่เป็นชื่ออาหารนั้นเป็นภาษาลาว
จุ่มนัว มีเส้นให้เลือก 3 อย่าง คือ เส้นเล็ก วุ้นเส้น เส้นหมี่ แล้วใส่ผักต่าง ๆ ลงไปจนเต็มชาม พร้อมกับหมูหมักนิ่ม ๆ กากหมู กระเทียมเจียว แล้วปิดท้ายด้วยน้ำจิ้มสูตรพิเศษรสเข้มข้นคล้ายน้ำสุกี้ที่ราดมาแบบไม่หวง กินแล้วรสออกหวานเผ็ด แต่อร่อยครับ มาเชียงคานต้องมาลอง ทุกอย่างทำแบบชามต่อชาม รวมถึงน้ำจิ้มที่ยายพัดจะลงมือทำทุกวันอาทิตย์ นอกจากจุ่มนัวแล้ว ร้านยังมีเมนูอื่น ๆ อย่างขนมจีน กวยจั๊บ หมี่กะทิ ให้ลิ้มลอง และเมื่ออิ่มจากของคาวแล้วร้านยังมีขนมหวานน้ำกะทิ อย่าง กล้วยบวดชี ฟักทองบวด ให้สั่งปิดท้ายมื้อด้วย น้ำกะทิของร้านนี้รสกำลังดีครับ
ร้านอยู่ในซอย 10 เดินมาจากถนนคนเดินได้เลยเพราะถนนเชื่อมกัน ร้านอยู่กลาง ๆ ซอย เปิดตั้งแต่ 07.00 น. ขายกันแต่เช้า และปิดช้ากว่าร้านป้าบัวหวานในหัวข้อที่แล้วนิดหน่อย ราว 15.00 น. แต่ถ้าไปช้ามีโอกาสที่จะไม่ได้กินสูง เพราะร้านของยายพัดขายดีมาก คนแน่นร้านจนแทบไม่มีที่นั่ง ทั้งขาจรที่แวะมาชิม และขาประจำที่มาสั่งกลับไปกินที่บ้าน เราไปช่วงบ่ายสองก็แทบจะหมดทุกอย่างแล้ว เหลือแต่จุ่มนัวกับของหวานไม่กี่อย่าง
นี่เป็นร้านอาหารท้องถิ่นที่เราไปฝากท้องในการเดินทางไปเชียงคานครั้งนี้ นอกจาก 4 ร้านนี้แล้ว ยังมีอาหารอื่น ๆ ที่เราแวะกินตรงนั้นตรงนี้อีก โดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่เดินถนนคนเดินที่มีร้านอาหารต่าง ๆ รวมถึงแผงลอยทั้งคาวหนาวมากมายให้ได้เดินเลือกซื้อเลือกกินตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอยก็มีร้านดัง ๆ อีกมาก เช่น ซุปจักรพรรดิ & ติ่มซำเชียงคาน เฮือนหลวงพระบาง เวียงเวียด ไอติมบาหยัน หรือถ้าใครพักอยู่ในถนนคนเดิน ตอนเช้าก็สามารถออกมาสัมผัสบรรยากาศตอนเช้าของเชียงคาน พร้อมกินอาหารเช้าในร้านท้องถิ่น โดยเฉพาะไข่กระทะที่ห้ามพลาด
ใครที่จะเดินทางไปยังเชียงคาน เราก็อยากให้ได้ไปกินอาหารท้องถิ่นของคนเชียงคานดูนะครับ นอกจากสถานที่เที่ยว กับที่ถ่ายรูปแล้ว ถ้าไม่ได้ลองกินอาหาร สำหรับเราถือว่ามาไม่ถึง