ภูเก็ต น่าจะเป็นหนึ่งในจังหวัดที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวในประเทศสำหรับคนไทยหลายคน โดยเฉพาะคนที่ชอบทะเล หรือในหน้าร้อนต้องการหาที่พักผ่อนสบาย ๆ มีชายหาดสวย ๆ ให้ลงเล่นน้ำ และหลายคนที่มาที่นี่ก็ต้องมากินอาหารทะเล สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นจุดขายหลักอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับ MenDetails แล้ว เราอยากสัมผัสเรื่องราวของที่นี่อีกทางผ่าน อาหารท้องถิ่นภูเก็ต ที่บอกเล่าเรื่องราวอีกหลายอย่างได้อย่างดีโดยเฉพาะเรื่องของวัฒนธรรมจีนฮกเกี้ยนที่ผสมผสานกันอยู่บนเกาะนี้
ทริปภูเก็ตครั้งนี้ของเราจึงเป็นการลองกินอาหารท้องถิ่น และอาหารท้องถิ่นที่เราไปกินมาจะมีอะไรบ้าง แต่ละอย่างมีเรื่องราวอะไร เราขอเชิญทุกท่านไปชมพร้อมกับเราครับ เผื่อทริปภูเก็ตครั้งหน้าใครที่ไม่เคยกินจะได้ไปลองบ้าง
ติ่มซำ และ แต่เตี้ยม อาหารที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากจีน
ภูเก็ตจัดเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีอิทธิพลของชาวจีนผสมอยู่มาก สาเหตุมาจากชาวจีนที่อพยพมาทางใต้และชาวจีนที่มาเป็นคนขุดเหมืองดีบุกในสมัยก่อน ทำให้คนจีนไม่น้อยลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ สร้างวัฒนธรรมจีนที่แข็งแกร่งขึ้นมา ส่วนชาวจีนส่วนใหญ่ที่อยู่ในภูเก็ตจะเป็นจีนฮกเกี้ยน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีทางออกสู่ทะเลทำให้ชาวจีนฮกเกี้ยนจำนวนมากอพยพมาอยู่ในประเทศอื่นเพื่อหาช่องทางทำมาหากิน ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทยตอนใต้ ชาวจีนฮกเกี้ยนเหล่านี้ก็นำศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั้งการเดินเรือ อาหาร ความรู้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะมาด้วย ทำให้เกิดการผสมผสานของวัฒนธรรมกับคนท้องถิ่น
เพราะเป็นพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมจีนเข้มข้นทำให้การกินอาหารอย่าง ติ่มซำ หรือ แต่เตี้ยม เป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ เรียกได้ว่ากินติ่มซำ / แต่เตี้ยม เป็นอาหารเช้าเลยทีเดียว และแน่นอนว่าการมาภูเก็ตครั้งนี้ของเราก็ต้องมากินด้วยเช่นกัน
พอพูดถึงติ่มซำเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จัก แต่พอเราพูดถึง ‘แต่เตี้ยม’ หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูนักเพราะเป็นคำที่ใช้ทางภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพอเรามาดูของที่ขายในร้านก็พบว่าอาหารก็ไม่ได้ต่างกันนัก แล้วทั้งสองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร?
จริง ๆ แล้ว “ติ่มซำ” เป็นอาหารว่างเป็นที่นิยมของคนจีนโดยทั่วไป แต่ “แต่เตี้ยม” ไม่ได้มีความหมายเดียวกับติ่มซำ แต่มีความหมายว่า ร้านน้ำชา คำว่า “แต่” มีเสียงคล้ายกับคำว่า “แต้” ที่หมายถึงน้ำชา ส่วนคำว่า “เตี้ยม” มาจาก “โรงเตี้ยม” สาเหตุที่เรียกกันว่าแต่เตี้ยมเพราะว่าร้านขายติ่มซำในอดีตจะต้องสั่งน้ำชามากินด้วย ทำให้เรียกว่าเป็น โรงเตี้ยมน้ำชา (ที่มีติ่มซำเป็นของว่างกินคู่กัน) และมักจะมีบักกุ๊ดเต๋ขายคู่กันด้วยเช่นกัน
นอกจากติ่มซำ / แต่เตี้ยม ที่เป็นวัฒนธรรมการกินอาหารของคนใต้แล้ว น้ำจิ้มติ่มซำของทางใต้เองก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นกันครับ เพราะมันไม่ใช่น้ำจิ้มจิ๊กโฉ่วเปรี้ยว ๆ ที่เราคุ้นเคยกัน แต่จะเป็นน้ำจิ้มสีออกแดงรสหวานนำเผ็ดนิด ที่เรียกว่า “กำเจือง” หรือ “ค้อมเจือง” เป็นน้ำจิ้มที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายจีน ต้นกำเนิดที่โด่งดังของน้ำจิ้มนี้อยู่ที่จังหวัดตรัง แต่แพร่กระจายไปทั่วภาคใต้ทำให้เราพบเห็นน้ำจิ้มกำเจืองได้ตามร้านติ่มซำ / แต่เตี้ยมทั่วไป โดยแต่ละร้านก็จะมีการปรับสูตรของตัวเองให้ไม่เหมือนใครเพื่อมัดใจลูกค้าครับ
หมี่ฮกเกี้ยน การผสมผสานวัฒนธรรมที่ลงตัว
มาถึงภูเก็ตถ้าไปถามคนท้องที่ว่า อาหารท้องถิ่นภูเก็ต ที่ควรกินคืออะไร คำตอบที่ได้จะต้องมีชื่อ “หมี่ฮกเกี้ยน” มาให้เราได้ยินด้วยแน่นอน เราจึงไม่พลาดที่จะไปลิ้มลอง สำหรับร้านดังของที่นี่ที่มีหลายสาขาก็หนีไม่พ้นร้าน หมี่ต้นโพธิ์ ร้านขายหมี่ฮกเกี้ยนชื่อดังและรสชาติอร่อย
หมี่ฮกเกี้ยนเป็นอาหารท้องถิ่นของภูเก็ต ที่แพร่ไปยังจังหวัดใกล้เคียง นอกจากที่ภูเก็ตแล้วยังสามารถหาเส้นหมี่ลักษณะคล้ายกันนี้ได้ในเกาะปีนังของมาเลเซีย และสิงคโปร์ เพราะที่นั่นมีชาวฮกเกี้ยนอาศัยอยู่มาก
หมี่ฮกเกี้ยนจะมีขนาดเส้นที่ใหญ่ คล้ายโซบะของญี่ปุ่น ทำให้หลายคนที่เห็นผัดหมี่ฮกเกี้ยนครั้งแรกเข้าใจว่ามันคือยากิโซบะ แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองอย่างเป็นอาหารคนละชนิดที่ต่างกันมาก ผัดหมี่ฮกเกี้ยนจะนำเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ทั้งหมูไปจนถึงอาหารทะเลแล้วแต่สูตรมาผัดในกระทะโดยใช้เตาถ่าน ตอนผัดใส่น้ำซุปลงไปด้วย ให้ซึมเข้าไปในเส้นและเคลือบเส้นเป็นน้ำขลุกขลิก และต้องใส่ “หอยติ๊บ” หอยคล้ายหอยนางรมตัวเล็กลงไปเพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นความหอม จุดเด่นอยู่ที่เครื่องที่ใช้ โดยเฉพาะอาหารทะเลจะต้องสดแบบวันต่อวันกินและสัมผัสได้ถึงความสดของวัตถุดิบที่ใช้
ถ้าให้อร่อยต้องตอกไข่ใส่ลงไปด้วย จะสุกไม่สุกก็ได้ตามความชอบ เวลากิน ให้กินคู่กับแคปหมูหรือหอมแดง ทางร้านจะมีแยกมาให้ใส่ ใครจะไม่ใส่ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรุงคล้ายบะหมี่ทั่วไป แต่สำหรับเราคิดว่ามันอร่อยในตัวมันเองแล้วเลยไม่ปรุง ใส่แค่หอมแดงลงไปเล็กน้อยก็อร่อยสุดยอด
หมี่ฮกเกี้ยนนอกจากเป็นแบบผัดหมี่แล้ว ยังมีแบบน้ำให้สั่งด้วย ก็จะได้รสชาติของน้ำซุปที่ใช้เบสเป็นหัวกุ้ง ซดแล้วได้กลิ่นกุ้งอ่อน ๆ เข้ากับเครื่องและเส้นดีมาก ๆ ครับ ถ้าแบบน้ำเขาจะเรียกกันว่า “หมี่เชค” คาดว่ามาจากตอนที่ลวกเส้นต้องเขย่า ๆ เป็นที่มาของคำว่าเชค (Shake) ใส่เครื่องได้ทั้งหมู กุ้ง และไข่ ได้อีกอารมณ์หนึ่งเลยครับ ต้องลองทั้งแห้งและน้ำ แต่สำหรับหมี่เชคนี่เราได้ไปลองในศูนย์อาหารท้องถิ่นในตัวเมืองครับ ร้านหมี่ต้นโพธิ์แค่ชามเดียวก็อยู่ท้องแล้วเพราะให้มาเยอะพอสมควร
ในร้านหมี่ต้นโพธิ์ยังมี “หมูฮ้อง” ให้สั่งด้วย นี่ก็เป็นอาหารของชาวภูเก็ตอีกเมนูหนึ่งที่หากินไม่ยาก เป็นหมูสามชั้นนำไปต้มซีอิ๊วและเครื่องเทศ รสหวานเค็ม เข้มข้น กินเล่นก็ได้ กินกับข้าวก็ดี แต่ละร้านหรือแต่ละบ้านก็จะมีวิธีการทำที่ต่างกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ มาถึงภูเก็ตก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน
โอวต้าว หมี่หุ้น และโลบะ
หัวข้อนี้มาเป็นคอมโบ เพราะร้านขึ้นชื่อของอาหารเหล่านี้อยู่ใกล้ ๆ กัน คือ ในชุมชนบางเหนียว เป็นชุมชนเก่าแก่อายุมากกว่า 100 ปีที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เรื่องราวและวัฒนธรรม
ออกตัวก่อนว่าสำหรับโอวต้าวนั้น เราโชคไม่ค่อยดีเพราะเข้าเมืองวันที่มีพายุฝนเข้า ทำให้ร้านรวงต่าง ๆ ไม่เปิด ร้านโอวต้าวร้านนี้และร้านดังหลาย ๆ ร้านก็เช่นกัน พอแวะมาวันจะกลับกรุงเทพฯ ร้านก็เพิ่งเตรียมร้านเท่านั้น ทำให้เราอดกินไปโดยปริยาย เพราะโอวต้าวเป็นอาหารที่นิยมกินเป็นอาหารเย็นหรือมื้อค่ำของคนภูเก็ตจึงไม่มีร้านที่เปิดขายแต่เที่ยงเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ศึกษาข้อมูลมาคร่าว ๆ และอยากมาแนะนำคนที่มีโอกาสไปเที่ยวภูเก็ตได้กินครับ
โอวต้าวนั้นเป็นอาหารที่มาจากชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมาเช่นเดียวกัน สามารถหากินได้ที่เกาะปีนังและสิงคโปร์เช่นกัน ทางนั้นจะเรียกว่า โอเจี้ยน แต่หน้าตากับชื่อเรียกจะต่างกันอยู่บ้างเพราะโอวต้าวจะมีการผสมผสานการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นไปด้วย โอวต้าวจะคล้ายกับหอยทอดภาคกลางแต่จะมีรสที่จัดกว่าและแป้งจะมีความเหนียวนุ่มกว่า ส่วนผสมที่ใช้นอกจากแป้งมัน ไข่ และซอสสูตรพิเศษของแต่ละร้าน ก็จะมี หอยติ๊บ เผือกนึ่งกับแคปหมูด้วย และยังมีแบบใส่พวกอาหารทะเลลงไปทำให้โอวต้าวเป็นอาหารที่รสสัมผัสต่างไปจากหอยทอดที่ต้องมาลองสักครั้ง
ส่วนหมี่หุ้น / หมี่หุ้นกระดูกหมู หรือที่หลายคนอาจเห็นเขาเรียกว่า หมี่หุ้นป้าฉ่าง ก็เป็นอาหารท้องถิ่นอีกชนิดที่อาจจะไม่โด่งดังเท่าโอวต้าวแต่หากินได้ทั่วไปในภูเก็ตและชาวภูเก็ตหลาย ๆ คนก็แนะนำให้ลองกิน เป็นอาหารที่เกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมไทย จีนฮกเกี้ยน ส่วนที่มาของคำว่า “ป้าฉ่าง” ในชื่อยังมีการถกเถียงกันอยู่ บ้างก็ว่าเป็นชื่อคนคิดค้นสูตรคนแรก บ้างก็ว่าเพี้ยนมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนว่า “บ๊ะฉ่าง” ที่หมายถึงหมู (บ๊ะ) และหอมเจียว (ฉ่าง)
หมี่หุ้นจะเป็นเส้นหมี่ผัดกับซีอิ๋ว โรยด้วยหอมเจียวและต้นหอมซอย กินแล้วรสออกหวานซ่อนเค็มจากหอมเจียว เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำซุปกระดูกหมูกลิ่นหอม มีรสหวานเพราะส่วนใหญ่จะใช้อ้อยในการต้มซุป และกระดูกหมูที่ต้มเปื่อยกำลังดี แทะแล้วแทบไม่ต้องเคี้ยว ซดซุปคำ กับคีบเส้นหมี่เข้ามาปาก แปบ ๆ หมดชุดเพราะรสชาติกลมกล่อมมาก โดยปกติคนภูเก็ตจะกินหมี่หุ้นเป็นอาหารเที่ยง
และไหน ๆ มานั่งร้านขายหมี่หุ้นแล้ว ก็ต้องสั่ง โลบะ ที่ขายอยู่ด้วยกันมากินด้วย เพราะนี่ก็เป็นหนึ่งอาหารที่มาจากจีนฮกเกี้ยน เกิดจากการผสมคำว่า โล (พะโล้) กับ บะ (เนื้อสัตว์) เข้าด้วยกัน เนื้อสัตว์ที่ใช้จะเป็นเนื้อหมูและมีการใช้เครื่องในรวมถึงส่วนหูและลิ้นด้วย จิ้มกินกับน้ำจิ้มมะขามเปียกกับน้ำตาลรสออกหวานอมเปรี้ยว เผ็ดนิด ๆ ต่างกันไปตามสูตรร้านใครร้านมัน แน่นอนว่ายังสามารถหาโลบะกินได้ที่เกาะปีนังกับสิงคโปร์เช่นเดียวกันครับ เมนูนี้นิยมกินเป็นอาหารกินเล่นและนิยมกินกับเต้าหู้ทอด แต่เราสั่งมากินคู่กับหมี่หุ้นก็ไม่เลวเลยครับ
การทำโลบะจะนำเนื้อหมูและเครื่องในไปหมักกับเครื่องพะโล้ ก่อนเอามาลวกด้วยน้ำผสมซีอิ๊วดำพอสุก และนำไปทอดอีกครั้งเวลาเสิร์ฟ ได้เนื้อที่ข้างนอกกรอบแต่ข้างในนั้นยังมีความนุ่มกินเพลิน ๆ
โอ้เอ๋ว และขนมหวานพื้นเมือง
ปิดท้ายด้วยของหวานกับเมนู โอ้เอ๋ว ที่หลายคนอาจจะคุ้นชื่อเพราะมีกระแสโด่งดังจากซีรีส์เรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงเป็นชื่อหนึ่งในตัวละครเอกของเรื่องทำให้คนแห่กันไปตามรอยรวมถึงทำให้ขนมหวานที่ชื่อเดียวกันนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นมา
สำหรับโอ้เอ๋วถ้วยแรกของเรา มาจากการที่เราไปเที่ยว “บ้านชินประชา” (คนละหลังกับบ้านพระพิทักษ์ชินประชาที่อยู่ติดกัน) นี่บ้านหลังแรกของภูเก็ตที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส อายุมากกว่า 100 ปี หากมาที่นี่เราจะได้รู้ประวัติศาสตร์ของภูเก็ตผ่านเรื่องเล่าในบ้านตั้งแต่การก่อสร้างบ้านในสมัยที่ไม่มีไฟฟ้า การออกแบบโดยใช้ความรู้และความเชื่อของจีนผสมยุโรป ไปจนถึงของเก่าที่เจ้าของบ้านรุ่นต่าง ๆ ใช้งานจริง แต่จะเปิดให้เข้าชมแค่ชั้นแรกเพราะชั้นสองยังมีเจ้าของบ้านรุ่นที่ 4 ตัวจริง (ป้าแดง-จรูญรัตน์ ตัณฑวณิช) อาศัยอยู่ เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตของแท้
หากโชคดี (แบบเรา) จะได้พบกับป้าแดงที่ลงมาให้ความรู้ หรือไม่ก็เจ้าของบ้านรุ่นที่ 5 (ลูกชายป้าแดง) ที่ในวันนั้น เจ้าของบ้านรุ่นที่ 5 และ “พี่เล็ก” ภรรยา ขับรถเข้ามาเพื่อมาเล่าเรื่องราวของบ้านให้เราฟังทุกซอกทุกมุม ใครที่ชื่นชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมรับรองว่าจะสนุกกับเรื่องที่พี่เล็กเล่าแน่นอนครับ
ในบ้านจะมีโซนที่เปิดเป็นคาเฟ่ ชื่อ Mei lian cafe-เหมยเหลียน คาเฟ่ ที่พี่เล็กแนะนำให้เราลองโอ้เอ๋วที่นี่เพราะมีน้ำเชื่อมดอกกุหลาบไม่เหมือนใคร หน้าตาของโอ้เอ้วโดยทั่วไปในภูเก็ตจะคล้ายกับน้ำแข็งไส มีเกล็ดน้ำแข็ง ใส่น้ำเชื่อม ราดนมบ้างไม่ราดบ้าง พร้อมด้วยเครื่องต่าง ๆ ไล่ตั้งแต่ผลไม้ เฉาก๊วย ถั่วแดงต้ม ถั่วแดงกวน แล้วแต่ว่าร้านไหนจะสร้างสรรค์ออกมาน่ากินเพียงใด แต่ที่ขาดไม่ได้คือของที่คล้ายวุ้นที่เป็นพระเอกของเมนูนี้ คือตัวโอ้เอ้วนั่นเองครับ
วุ้นโอ้เอ๋วทำมาจากเมล็ดโอ้เอ๋ว หรือในภาษาจีนเรียกว่า เมล็ดอ้ายอวี้ เป็นพืชจำพวกมะเดื่อชนิดหนึ่ง นำมาแช่น้ำแล้วใช้เมือกของมันมาผสมกับเมือกของกล้วยน้ำว้า ใส่เจี๊ยะกอให้เกาะตัวเป็นก้อน ตัววุ้นมีสรรพคุณแก้ร้อนใน กระหายน้ำ เหมาะกับการกินตอนอากาศร้อน ๆ ได้ดีทีเดียว เมื่อมาใส่กับน้ำแข็งไสเลยเพิ่มความชื่นใจเข้าไปอีก
โอ้เอ๋วเป็นเมนูที่หากินได้ทั่วไปในภูเก็ต กินเป็นของหวานก็ได้ คนภูเก็ตยังบอกเราว่าจะกินเล่นก็ได้ (แต่ถ้วยใหญ่มาก) มีประวัติย้อนกลับไปได้ถึง 200 กว่าปี คาดว่าชาวจีนฮกเกี้ยนบนเกาะภูเก็ตได้รับอิทธิพลมาจากทางเกาะปีนังมาผสมกับการกินของหวานแบบไทย ๆ ส่วนตัวเมนูนี้ดั้งเดิมมาจากจีนที่เป็นวัฒนธรรมร่วมเมื่อชาวจีนอพยพไปลงหลักปักฐานในที่ต่าง ๆ ทำให้วุ้นโอ้เอ๋วนี้มีทั้งในจีน เกาะปีนัง ภูเก็ต และไต้หวันที่ได้รับความนิยมมาก แต่ทางไต้หวันจะเป็นในรูปแบบเครื่องดื่มมากกว่าของหวาน
นอกจากโอ้เอ๋วแล้ว ภูเก็ตยังมีขนมหวานพื้นเมืองอื่น ๆ อยู่อีก หลายอย่างยังพอหากินได้ทั่วไป ในขณะที่หลายอย่างเริ่มหากินได้ยาก เพราะคนที่ทำเป็นมีน้อย เช่น อังกู๊ หรือ ขนมเต่า หนึ่งในขนมมงคลของภูเก็ตเชื้อสายจีน, โกสุ้ย หรือ ขนมถ้วยน้ำตาลแดง รสหวานหอม, เต้าส้อ ขนมและของฝากอันดับหนึ่งที่ใครมาจะต้องแวะซื้อกลับบ้าน เป็นจนมที่มาจากชาวไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยน, โก้ยเบ่งก๊า หรือ ขนมบ้าบิ่นมันสำปะหลัง และอีกมากมายเหลือจะกล่าว
นี่คือการเดินทางสัมผัสเรื่องราววัฒนธรรมของภูเก็ตผ่านอาหารในทริปนี้ของเรา นอกจากสถานที่เที่ยวต่าง ๆ แล้วอาหารก็เป็นสิ่งที่สื่อถึงวัฒนธรรมได้เช่นกัน และเราก็ไม่อยากให้พลาด อาหารท้องถิ่นภูเก็ต เหล่านี้ ยิ่งเราเข้าใจที่มาของมันด้วยจะยิ่งทำให้ซึมซับเรื่องราวและรสชาติของแต่ละจานได้มากขึ้น แม้การเดินทางครั้งนี้ของเราก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่เมื่อมีทริปเดินทางสุดพิเศษและได้พบเจอเรื่องราวอะไรที่อยู่ในอาหารท้องถิ่นอีกครั้ง จะกลับมาแนะนำกันอย่างแน่นอน