หากกล่าวถึงร้านอาหารในกรุงเทพฯ เราเชื่อว่ามีหลากหลายร้านเหลือเกิน ให้คุณได้เลือกลิ้มลองกัน แต่ถ้าพูดถึงการทานแบบ Chef Table จริง ๆ ได้เข้าไปนั่งในบ้านของ Chef จริง ๆ แล้วนั้น MenDetails คิดว่า มีไม่มากและถ้ายิ่งเป็นร้านที่ต้องจองล่วงหน้ายาวนานถึง 6 เดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง กับ Seasoning 36 ที่เราใช้เวลาถึง 6 เดือน กว่าจะได้ลิ้มลองกัน และนี่คือ รีวิว Seasoning 36 ที่เราคิดว่า “คุ้มค่าที่สุดแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ” แน่นอน
จากบ้านสู่ “ห้องอาหาร”
การเดินทางถือว่าไม่ยากเลยครับ มีที่จอดรถในซอยเล็ก ๆ ให้บริการอยู่ รองรับได้มากถึง 5 คัน ทว่า ความรู้สึกแรกที่เดินทางมาถึงคือ ที่นี่ใช้ Seasoning 36 จริงหรือป่าว เพราะบรรยากาศโดยรวมนั้น คือบ้านจริง ๆ พักอาศัยที่นี่จริง ๆ ทางเข้าร้านคือประตูบ้านที่จำเป็นต้องกดกริ่งเรียกเชฟออกมาเปิดประตูให้ มันเหมือนการมานั่งทานอาหารบ้านเพื่อน โดยที่เพื่อนของเราเป็นคนทำอาหารเก่ง พร้อมเสิร์ฟเมนูที่ไม่เคยลิ้มลองที่ใดมาก่อน
สิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกท่านได้ทราบกันก็คือ ระยะเวลาในการจองเพื่อมาทาน ณ Seasoning 36 นั้น กินเวลายาวนานถึง 6 เดือนเต็ม และไม่มีท่าทีว่าจะสั้นลงแต่อย่างใด ดังนั้น อ่านมาถึงจุดนี้แล้ว เราแนะนำให้เริ่มสอบถามเกี่ยวกับการจองเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยครับ จะได้ไม่พลาด และเรากล้าพูดได้เลยครับว่า นี่คือการจองร้านอาหารที่ยาวนานที่สุดร้านหนึ่งของพวกเราเลยทีเดียว
เมนูอาหารไทย ในมุมมองใหม่
เนื่องจากตัวเชฟเองนั้น เคยฝึกงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน New York ซึ่งได้ Michelin Star 2 ดาวมาก่อน การเดินทางกลับไทยเพื่อทำงานในร้านอาหารระดับใหญ่ จึงไม่ใช่เป้าหมายหลัก หากแต่การได้เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ในบ้านของตัวเอง มุ่งเน้นไปที่รสชาติและวัตถุดิบที่ดีที่สุด ในราคาที่เข้าถึงได้จริง กลับเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย และผลักดัน Passion ในการทำอาหารของเชฟเบนซ์อีกครั้ง
โดย Seasoning 36 เอง มีของคอร์สเมนูให้เลือกหลัก ๆ ได้แก่ คอร์สเมนูอาหารไทย และ อาหารญี่ปุ่น โดยครั้งนี้ เราเลือกลองทานเป็นคอร์สเมนูอาหารไทยกันก่อนครับ กับ 6 คาว 1 หวาน กับความแปลกใหม่ที่คุณอาจไม่เคยได้ลิ้มลองที่ใดมาก่อน ว่าแล้วก็ลองตามพวกเรามาได้เลยครับ
เริ่มด้วยต้มข่าไก่แบบเย็น และกุ้งแช่น้ำปลา
ถือเป็นการเปิดคอร์สเมนูอาหารไทย ที่หน้าตาไม่ไทยเลยครับ กับต้มข่าไก่ ที่เชฟตั้งใจเสิร์ฟแบบเย็น มาพร้อมปลากุเลาซึ่งนำไป Pan Fry บนกระทะให้หนังกรอบ เรียกว่ารสชาติกลมกล่อมมากทีเดียว หวานเปรี้ยวกำลังทาน เข้าคู่กับเนื้อปลาได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือตัวเนื้อปลาไม่ Overcook ทำให้ได้ความชุ่มช่ำ พร้อมความกรอบของหนังที่สร้าง Texture ได้ค่อนข้างดีทีเดียว
กุ้งแช่น้ำปลาคือความแปลกใหม่มาก ๆ ครับ ปกติ เราจะได้เห็นแต่กุ้งดิบตัวเล็ก ๆ มาพร้อมน้ำปลา กระเทียม และน้ำจิ้มซีฟู๊ด แต่ครั้งนี้ เชฟหยิบมาปรับเปลี่ยนเป็นกุ้งตัวใหญ่ไปแช่น้ำปลา แล้วนำไปต้มให้พอผิวเปลี่ยนสี วางบน Avocado ปั่นกับซอสซีฟู๊ดทำเอง ตบท้ายด้วยซอสมะม่วงราดด้านบน จานนี้คือดีมาก ๆ ครับ เรียกว่าว้าวตั้งแต่คำแรก ทานหมดยังเอาช้อนมาขูดจานกันอยู่เลย อร่อยและลงตัวมากทีเดียว
ต่อด้วยยำปูก้อน และต้มแซ่บแก้มวัว +1
ตัวยำปูก้อนนั้น เชฟได้ปรับให้เป็นนำ้ยำพริกเผา คลุกเคล้าเข้ากับชมพู่หวาน นำปูก้อนชิ้นโตมาวางไว้ด้านบนแล้ว Top ด้วยไข่แดงเค็มเพื่อเพิ่มความมันให้กับจานนี้ ส่วนตัวคิดว่าเค็มไปสักหน่อย หากได้ความหวานจากเนื้อปูที่มากกว่านี้น่าจะช่วยได้มาก แต่เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านก็น่าจะชอบจานนี้เช่นเดียวกัน
มาต่อกันที่ต้มแซ่บแก้มวัวกันครับ ตัวน้ำซุปถือว่าทำได้ดี รสชาติต้มแซ่บมาเต็ม และกลมกล่อมมากทีเดียว ตัวแก้มวัวนั้น ตุ๋นมาได้นุ่มและละลายในปาก ทานคู่กับมะเขือเทศต้มสุก ให้ความหวานที่กำลังพอดี จานนี้ยอดเยี่ยมทีเดียว และจานนี้เองก็แปลงกายเป็นข้าวต้มเพียงเติมข้าวญี่ปุ่นลงไปในน้ำซุป ถือเป็นข้าวต้มที่หวานกำลังดี มี Texture ที่หนานุ่มในปาก หากเหลือเนื้อแก้มวัวในชามไว้ทานคู่กับข้าวจะยิ่งกลมกล่อมมากขึ้น
จานหลักคือปลากระพงบนซอสแจ่ว และมัสมั่นไก่
ถือเป็นจานหลัก 2 จานสุดท้าย ก่อนมุ่งหน้าสู่ของหวานครับ นั่นก็คือปลากระพงย่าง เสิร์ฟบนซอสแจ่วมะเขือส้มจากทางเหนือ ถือเป็นเมนูที่ตั้งใจผสมผสานรสชาติจากทางเหนือ เข้าคู่กับเนื้อปลากระพงที่มีความแน่นหนึบ ทว่าโดยส่วนตัวแล้ว เหมือนรสชาติยังขาดอะไรไปสักอย่าง แต่เนื้อปลานั้น ทอดมาได้ดี ตัวซอสแจ่วเองก็รสชาติหอมละมุนนะครับ เลยเชื่อลึก ๆ ว่า ต้องมีคนชอบจานนี้แน่นอน
จบด้วยมัสมั่นไก่ ซึ่งถือเป็นเมนูปิดท้ายที่ตราตรึงใจมากทีเดียว กับแกงมัสมั่นที่หอมละมุน ตัดเปรี้ยวด้วยส้มซ่า พร้อมผิวส้มซ่าเพิ่มความขมเล็กน้อย ทานคู่กับมันบดที่นำไปเคล้ากับกะทิ ให้รสชาติหวานมันแบบไทย ๆ วางเนื้อสะโพกไก่ที่ทอดจนหนังกรอบ แต่เนื้อไม่แห้ง โรยด้วยถั่วแมคคาเดเมีย เรียกว่าเข้ากันเป็นอย่างดี จนอยากจะขอข้าวเพิ่มสักถ้วยเลยครับ จานสุดท้าย แต่หมดเกลี้ยงเลยก็ว่าได้
ปิดท้ายด้วยของหวาน กับ สาคูต้นแท้ ๆ
น้อยคนนะครับที่จะรู้จักสาคูต้น ส่วนมากจะโตมากับเม็ดสาคูที่ทำจากแป้งมัน ทว่า ทางภาคใต้ยังมีต้นสาคูแท้ ๆ กับเมนูของหวานอย่างสาคูต้น ที่ราดด้วยน้ำตาลโตนดที่เคี่ยวจนหวานข้น ส่วนตัวคิดว่าหวานไปสักหน่อย แต่ดีที่ทางร้านตักราดแยกจากกัน ทำให้เลือกทานได้ตามใจชอบครับว่า อยากได้หวานแค่ไหน ก็ตักมาผสมกับสาคูต้นแค่นั้น ซึ่ง Texture ก็จะแตกต่างจาก สาคู ทั่ว ๆ ไปแน่นอน ซึ่งจริง ๆ ก็สามารถสั่งผ่านช่องทาง Online ได้นะครับ สำหรับสาคูต้น แต่ถือเป็นของหวานไทยแท้ ๆ ที่ลงตัวมากทีเดียวจาก Seasoning 36
นี่คือ Chef Table ที่เริ่มต้นจากการทักทายของคนแปลกหน้าบน Instagram ว่าอยากทานอาหารที่เชฟเบนซ์ทำ ต่อด้วยกลุ่มเพื่อนที่รู้จักกัน จนกลายมาเป็นร้าน Seasoning 36 ที่เปิดรับเพื่อนกลุ่มใหม่ ๆ ให้มาลองนั่งทานอาหารบ้านเพื่อนในแบบฉบับของเชฟเบนซ์เอง และเชื่อเถอะครับว่า นี่จะเป็นการรอคอย 6 เดือนที่คุ้มค่ามากที่สุด ว่าแล้วก็เริ่มต้นจองกันได้เลยครับ