ใกล้เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความสุขเข้าไปทุกที หลายๆ คนอาจกำลังมองหาร้านอาหารดีๆ ที่เหมาะกับค่ำคืนพิเศษๆ ของคุณจริงมั้ยครับ วันนี้ MenDetails ขอแนะนำร้านอาหารที่หยิบยกเอากลิ่นไอของ Portuguese และ Italian มาเขย่ารวมกันได้อย่างลงตัวในทุกๆ จานที่ทานแบบ Full Courses ‘Autumn Tasting’ Menu ที่มีให้เลือกระหว่าง 7 Courses (2,500.-) และ 9 Courses (2,800.-) จากฝีมือ Chef-Partner Luca Appino และ Head Chef Nelson Amorim ที่ร้าน il FUMO โดยตัวร้านจะตั้งอยู่ที่ถนนพระราม 4 ติดกับ Amanta Lumpini จะดีแค่ไหน ลองตามไปดูแต่ละจานเลยดีกว่าครับ
บรรยากาศอบอุ่นสไตล์บ้านโบราณที่เหลืออยู่ไม่มากในกรุงเทพฯ
ร้าน il FUMO นั้นเลือกนำเอาบ้านเก่ามาปรับปรุงใหม่ให้มีบรรยากาศอบอุ่น ที่แฝงไปด้วยกลิ่นไอความพิถีพิถัน ซึ่งพอเราได้ลองเดินดูรอบๆ ตัวร้าน il FUMO ก็รู้สึกเหมือน “ได้ย้อนกลับมาอยู่ในบรรยากาศแบบ Slow-Life ปล่อยให้การทานอาหารเป็นเรื่องไม่เร่งรีบ” อย่างที่เป็นอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ดังนั้น ร้านนี้จึงเหมาะมากที่จะลองพาใครสักคนมานั่งทานด้วยใต้แสงไฟและแสงเทียนที่งามไม่แพ้โรงแรมหรูเลยทีเดียว ถ้าไม่เชื่อ “เราขอท้าให้ไปลองดูด้วยตาตัวเองครับ”
Head Chef Nelson ผู้ไม่หยุดพัฒนา
ครั้งนี้ MDs ได้มีโอกาสพูดคุยกับ Head Chef Nelson Amorim ชาวโปรตุเกส ที่เป็นหนึ่งในผู้รังสรรค์เมนูชั้นยอดเหล่านี้ขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่า Chef Nelson นั้นเป็นคนที่เลือกวัตถุดิบที่จะนำมาผลิตเป็นอาหารอย่างถี่ถ้วนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัวคุณภาพตั้งแต่ Wagyu ไปจนถึงเนื้อวัวธรรมชาติที่มีรสชาติอีกแบบตามอายุขัยของวัวตัวนั้นๆ แต่ที่ทำให้เรารู้สึกทึ่งมากเป็นพิเศษก็คือ คำถามที่เราถามไปว่า “อาหารจานไหนเป็นจานโปรดที่สุดของเชฟ” โดย Chef Nelson ตอบกลับมาว่า “มันมีจานหนึ่งครับที่ผมชอบเป็นพิเศษ นั่นก็คือ ‘Kokotxa’ of Bacalhau & Carbonara เนื่องจากเป็นเมนูที่เราเลือกและพัฒนาอยู่นานมาก จนได้รสชาติที่ถูกใจ” นี่แหละครับคือ Chef Nelson ผู้ไม่หยุดพัฒนาตัวจริง
พนักงานกล่าวให้เราฟังว่า “ทุกครั้งที่ยกจานอาหารที่ลูกค้าทานไม่หมดกลับเข้าไปในครัว มักจะโดนถามเสมอว่า ทำไมถึงเหลือ? ลูกค้าไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ย? ซึ่งความจริงคือคุณลูกค้าท่านนั้นๆ อิ่มเกินกว่าจะทานได้หมดจานเท่านั้นเอง” ฟังแบบนี้แล้วก็พอจะรับรู้ได้ทันทีครับว่า ทุก Course ที่เรากำลังจะได้ทานนั้น คือ Passion ในการทำอาหารของ Chef จริงๆ
ก่อนเริ่มทาน ก็ต้องมี Cocktail และ Martini กันเล็กน้อย
เครื่องดื่มเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ หากจะมาทานอาหารแบบ Full Courses แบบนี้ ซึ่งทางร้านแนะนำให้ลองเป็นตัว ‘The il FUMO Martini’ ซึ่งเป็นบริการชงแบบ Tableside Service หรือมาชงให้เห็นขั้นตอนที่โต๊ะเลย ซึ่งตัว The il FUMO Martini มีส่วนผสมได้แก่ Botanist Dry Gin กลิ่นดี จับคู่กับ Barrel-Aged La Guintinye และ Dry Vermouth ก่อนจะเสิร์ฟลงในแก้วที่ Smoked ด้วยการเผา Apple Wood Chips ปิดท้ายด้วย Kalamata Olive บอกเลยว่า “กลิ่นหอมเตะจมูกมาเป็นอย่างแรกเลย” รสชาติถือว่าดีเยี่ยม ขมนิดๆ แต่หวานช่วงกลางและปลายแบบนุ่มๆ แต่สำหรับใครที่ไม่ค่อยชอบแอลกอฮอล์แรงๆ แนว Martini ทางร้านก็มีเมนู Cocktail ให้เลือกสรรค์ครับ MDs แนะนำ ‘Royal Sour’ ไปเลย รับรองไม่ผิดหวัง
–กลาง : ‘Royal Sour’ ขวา : The il FUMO Martini-
‘Royal Sour’ ประกอบด้วย Tanqueray / Ginger / Passionfruit / Sesame Oil / Lemon และ Absinthe ซึ่งกลิ่นของ Absinthe จะมีความเฉพาะตัวสูงทั้งดอกไม้และธรรมชาติจากสมุนไพรเลยเด่นมาแต่ไกล บวกเข้ากับกลิ่น Dry Gin และขิง ผสมกับกลิ่นน้ำมันงา ทำให้ ‘Royal Sour’ คืออีกหนึ่ง Cocktail ที่คุณต้องมาลองให้ได้
Chef Nelson’s Italian & Portuguese Snacks
เริ่มต้นซะทีกับเมนู Snacks สุดพิเศษจาก Chef Nelson ซึ่งมีทั้งหมด 3 อย่างด้วยกัน เริ่มจากแป้งห่อด้วยครีมสูตรพิเศษผสมเนื้อปู รสชาติจะเบาบาง กลมกล่อมอมเปรี้ยวเล็กๆ อร่อยเลยครับ ตามด้วย Snacks แผ่นกลมๆ สีดำ ที่มีครีมซอสด้านบนพร้อมผลมะกอก รสชาติจะออกเข้มระดับหนึ่งเลยครับ ตัดความหวานมันของคำแรก ก่อนจะจบที่ขนมทรงกลมสอดใส่ครีมที่มีความหวานและเปรี้ยวเล็กๆ ทั้งหมด 3 ชิ้นนี้น่าจะเป็นตัด Starter เพื่อปรับสภาพให้เราพร้อมทานอาหารจริงๆ กัน
Mazara del Vallo Red Prawns Tartare, Champagne-Poached Grapes & Oscietra Caviar
จานต่อมาเรียกว่า เปิดประสบการณ์มากทีเดียวกับกุ้งจาก Mazara del Vallo สด ทานคู่กับองุ่นใน Champagne และ Top ด้วย Oscietra Caviar จะให้อธิบายว่าอร่อยอย่างเดียวก็คงยาก แต่เอาจริงๆ คือเมนูนี้มีความลุ่มลึกของรสชาติมากจริงๆ ตั้งแต่รสกุ้งสดที่หวานมากๆ คล้ายกุ้งหวาน Sashimi เลยแหละ แต่ผสมกับความหอมของกลิ่น Champagne และรสเปรี้ยวนิดๆ จากองุ่น เพิ่ม Texture ความกรุบกรอบจาก Oscietra Caviar บอกเลยว่า “อร่อยจนขูดเปลือกหอยเลยทีเดียว” ทานคู่กับไวน์ Contacto Alvarinho ช่วยเพิ่มรสให้กุ้งหวานเข้าไปอีกครับ
‘Kokotxa’ of Bacalhau & Carbonara
ปลา Cod จากโปรตุเกสที่เลือกอย่างพิถีพิถันมากที่สุด เพื่อให้มีรสชาติที่เข้ากับชีส ฟองนม และเบคอนทอด ซึ่ง Chef เป็นคนบอกเองว่า ตัวเขาต้องเลือกลองเนื้อปลาหลากหลายแบบมาก ตั้งแต่หมักเกลือ / เนื้อปลาแบบย่าง จนจบลงที่เนื้อปลา Bacalhau ที่ให้รสชาติดีด้วยการต้มและทานคู่กับ Pancetta หั่นบางที่หอมมันเค็ม เข้าคู่กับเนื้อปลาและชีสได้แบบเนียนๆ ทานคู่กับไวน์ขาว Aphros Aether บอกเลยว่าขูดจานอีกเช่นกัน นี่ขูดจานอันที่ 2 แล้วนะครับ
Fresh Tagliolini with White Truffle & When Gnocchi Go to The Sea
Course นี้เราสามารถเลือกได้ระหว่าง Fresh Tagliolini with White Truffle กับ When Gnocchi Go to The Sea ซึ่งเราเลือกลองทานทั้ง 2 แบบครับ จานแรกคือ Fresh Tagliolini with White Truffle แค่ขึ้นชื่อว่า White Truffle ก็ถือเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งบนโลกใบนี้ เห็ด White Truffle คุณภาพสูงเพียงดอกเดียวอาจมีมูลค่าหลักหลายหมื่นบาทเลยก็ว่าได้ครับ ทานคู่กับเส้น Tagliolini แบบทำมือคลุกกับชีส แค่กลิ่นของ White Truffle ก็กินขาดละครับ ถ้าคุณได้มีโอกาสมาลอง เราแนะนำให้ลองตัวนี้เลย ทานคู่กับไวน์ Fonterutori จาก Toscana เพิ่มกลิ่นไออิตาลีได้เป็นอย่างดี
อีกจานหนึ่งเป็น When Gnocchi Go to The Sea จานนี้จะมีกลิ่นไอความเป็นทะเลค่อนข้างสูงครับ ตั้งแต่การผสมแพลงตอนเข้ามาในเมนู ขับกลิ่นทะเลด้วย Seaweed พร้อมความหวานจากแป้ง Gnocchi ที่นุ่มกำลังดี จานนี้ถ้าใครไม่ชอบแนวหนักหน่วง อยากทานอะไรเบาๆ ก่อนจัด Main Course แล้วหล่ะก็ แนะนำจานนี้เลยครับ
Portuguese Carne Barrosã & Wild Atlantic Trout, Squid & Clams Bulhao de Pato
ต่อกันที่ Main Course ครับ ซึ่งทางร้านมีให้เลือกใน Set Menu อยู่ 2 ตัว Suckling pig & Sicilian Bronte pistachio และ Wild Atlantic Trout, Squid & Clams Bulhao de Pato แต่จะมีเมนูเนื้อวัวเพิ่มเติมอย่าง Australian Wagyu ‘Diamatina’ และ Portuguese Carne Barrosã ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มจากราคา Set Menu ปกติครับ โดยวันนี้เราเลือกเป็น Wild Atlantic Trout, Squid & Clams Bulhao de Pato เมนูนี้ทาง Chef เลือกใช้ปลา Trout ธรรมชาติจาก Atlantic เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีเยี่ยมที่สุด เพิ่มรสด้วยปลาหมึกและหอยลอยที่ปรุงด้วยวิธีแสนพิเศษสไตล์ชาวโปรตุเกสที่มีชื่อเรียกว่า Bulhao de Pato รสชาติเบาๆ ครับ ทานแล้วไม่หนัก สำหรับใครก็ตามที่ชอบปลาสดคุณภาพสูงอย่างเนื้อปลา Trout แล้วหล่ะก็ เมนูนี้น่าจะเหมาะมากทีเดียว
อีกจานหนึ่งที่เราเลือกก็คือ Portuguese Carne Barrosã หรือเนื้อวัว Carne Barrosã เป็นวัวพันธุ์พิเศษจากโปรตุเกส ที่ทาง Chef เลือกเป็นวัวแก่ ไขมันออกเหลือง และเนื้อนุ่มด้วยกล้ามเนื้อที่ใช้งานจริง เวลาทาน แนะนำให้ตัดมันที่วางอยู่บนชิ้นเนื้อออกเล็กน้อย มาทานคู่กับเนื้อพอดีคำ เพื่อให้ได้กลิ่นที่พอดีระหว่างมันและเนื้อ ตัดเลี่ยนด้วย Beetroot และ Mash Potato แกล้มไวน์ Pago Alyes, “E”, Aragon ยิ่งทำให้เนื้อมีรสชาติเยี่ยม นุ่ม หอม เค็มกำลัง ใครสายเนื้อห้ามพลาด!
Black Olives & Orange ‘Texturas’
เป็นเมนูที่ Creative มาทีเดียว โดยการนำเอา Black Olives มาทำเป็น Sponge ทานคู่กับไอศครีมรสส้มที่มี Texture กรุบๆ นิดๆ กับตัวเนื้อส้มแนว Fruit Cake ทำออกมาได้ลงตัวมากครับ และถึงแม้ว่าจะก้าวเข้าสู่จานที่ 6 อย่างเต็มรูปแบบ เราก็ทานหมดแบบขูดจานกันเหมือนเดิม เอาจริงๆ คืออิ่มครับ แต่ว่ารสชาติที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ ไม่อยากให้พลาดแม้แต่หยดเดียว ซึ่งขนมชนิดนี้จะทานคู่กับไวน์ Porto Branco ซึ่งรสชาติจะหนักกว่าตัวอื่นๆ ที่ผ่านมา มีความเข้มที่เข้ากับขนมหวานได้พอดีๆ
Portuguese Egg Tart ‘21st century’
จานสุดท้ายแล้วครับกับของหวานที่ Chef ลองปรับให้เป็นพิเศษ (ไม่เหมือนรูปใน Menu นะครับ) ทำด้วยแป้ง Mille Feuille พร้อมครีม Egg Tart ทานคู่กับไอศครีม Vanilla และ ฟักทองฟอย รสชาตินี่ไม่ต้องพูดถึงครับ อร่อยมากจริงๆ ถือเป็นการจบ ‘Autunm Tasting’ Menu ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความหวานของ Egg Tart และแป้ง Mille Feuille ที่กรอบกำลังดี บอกเลยว่า “นี่แหละของหวานที่แท้จริง”
ก่อนจะจากกันไป ทางร้านยังเสิร์ฟ Petit Fours ตบท้ายมาให้ด้วยครับ (เมนูนี้ไม่อยากเขียนอะไรมากครับ เพราะอยากให้ไปลอง กับของหวานปิดท้าย 4 อย่างที่จะทำให้คุณจำ il FUMO ไปอีกนาน) บอกเลยครับว่า “คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์” ระหว่างที่พิมพ์ไป ก็น้ำลายไหลไปพลาง ซึ่งโดยปกติเวลา MDs ไปทานที่ไหนหรือแนะนำให้ทุกท่านไปลองดูนั้น เรามักมีข้อสังเกตเผื่อไปให้ด้วย แต่สำหรับที่นี่นั้นแทบจะไม่มีเลยครับ พูดในเชิงนี้แทนน่าจะดีกว่าว่า “สำหรับเรา มีบางเมนูที่อาจหวานไปสำหรับบางคน และถ้าคุณไม่ลองทานเนื้อ หรือไม่สั่ง Fresh Tagliolini with White Truffle เราคิดว่าคุณพลาด”
สำหรับเมนู 7 Courses พร้อมไวน์ Pairing ตามที่คุณเห็นนั้นจะสนนราคาอยู่ที่ 4,200.- (++) หากไม่ทานคู่กับไวน์ Pairing ก็จะอยู่ที่ 2,500.- (++) อาจเป็นมื้อที่มูลค่าสูงนิดหน่อย แต่รับรองครับว่า คุ้มค่าทุกคำจริงๆ ยิ่งถ้าคุณพาคนรู้ใจไปทานในวันสุดพิเศษ รับรองว่าที่นี่ il FUMO จะทำให้คืนพิเศษของคุณ “พิเศษกว่าที่เคย”