หากคุณกำลังมองหาร้านอาหารสำหรับค่ำคืนพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาพิเศษอย่าง การฉลองวันเกิดของคนสำคัญ หรือ ฉลองปีใหม่กับคนพิเศษ MenDetails ขอแนะนำร้านอาหารแนว Portuguese ในรูปแบบ Fine Dining ณ ร้าน Il Fumo ร้านแนว Cozy เหมือนได้ทานอาหารบ้านเพื่อนแบบ Open Kitchen เสมือนรูปแบบ Chef Table ก็ว่าได้ แค่บรรยากาศก็ชนะขาดแล้วครับ ยิ่งได้ลองทานอาหารแบบ Tasting Menu แบบ 4 Courses เราเชื่อมั่นว่า นี่คือคำ่คืนสุดพิเศษที่คุณสามารถสร้างขึ้นได้เองง่าย ๆ กับคนพิเศษของคุณครับ ว่าแล้วก็ตาม รีวิว เรามาได้เลย
Comfortable Restaurant for Your Special Day
ร้าน Il Fumo (“อิล ฟูโม” แปลว่า ควัน ในภาษาอิตาเลี่ยนครับผม) ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 ครับ ถือเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งลึกลับสักเล็กน้อย ซึ่งเราแนะนำให้คุณเปิด Google Maps แล้วนำทางไปที่ร้าน จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งที่ร้านมีที่จอดรถรองรับด้วยเช่นเดียวกัน เพียงคุณเลี้ยวเข้าซอยมา คุณจะรู้สึกได้เลยครับว่า ที่นี่เหมือนเป็นหลุมหลบภัยเล็ก ๆ จากความวุ่นวายใจกลางกรุงอีกแห่งหนึ่ง เปิดประตูสู่สวนหลังบ้าน หรือเข้าครัวแบบ Open Kitchen พูดคุยกับเชฟ Nelson Amorim ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง
ร้านที่นำเอาบ้านมาเก่าของลูกหลานในรัชกาลที่ 4 บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งทางร้านได้นำมา Renovate อีกครั้ง แล้วจึงตั้งชื่อว่า Il Fumo แล้วนำเสนออาหารสุดพิเศษในรูปแบบ New Portuguese Cuisine ที่เราคิดว่าคุณไม่สามารถหาทานได้ที่ไหนในไทยอีกแล้ว
ลิ้มลองอาหาร New Portuguese ในแบบ Tasting Menu
แบบ 4 Courses และ Wine Pairing
เปิดเข้าสู่รสชาติยามค่ำคืนแห่ง Il Fumo ด้วย Tasting Menu แบบ 4 Courses (1,900.++) ที่รังสรรจากวัตถุดิบที่หาได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมกันจนกลายเป็น 4 จานที่ดีที่สุดจากฝีมือเชฟ Nelson เรามาเริ่มกันที่จานแรกกันเลยดีกว่าครับ กับ สลัดผ้าคอด (Cod Fish Salad) ตกแต่งตัวผักดอง ราดด้วย Anchovies Dressing พร้อม Pistachio Purée บีบเป็นจุด ๆ ก่อน Top ด้วยผักชี ซึ่งถือเป็นผักที่ชนชาติโปรตุเกส ชื่นชอบและนิยมใช้บนจานอาหารเช่นเดียวกัน ซึ่งจานนี้ทำออกมาได้ดีครับ ปลาคอดไม่มีกลิ่นคาวเลย น้ำสลัด Anchovies ก็ไม่เค็ม แต่เข้าคู่กับผักดองได้เป็นอย่างดี ทานคู่กับ Pistachio Purée แบบครบทั้งหมดรวมกันในคำเดียว รับประกันว่าสดชื่นและเปิดต่อมรับรสในปากได้เป็นอย่างดี ทว่า Purée นั้น บีบมาให้น้อยไปหน่อยสำหรับเรา ทำให้คำอื่น ๆ ที่ทานแล้วไม่เข้ากันทั้งหมด อาจขาดความมันและความหอมของถั่ว Pistachio นั่นเอง
ต่อ Course ที่ 2 ที่มีให้เลือกระหว่าง Charcoal-grilled Octopus with Pistachio Purée
กับ Pan-seared Foie Gras, Figs Jus & ‘Troxas de Ovos’
กล่าวเปิดก่อนเลยว่า ทั้ง 2 เมนูคือดีทั้งคู่ครับ ไม่ว่าคุณจะเลือกเป็น Foie Gras หรือ Grilled Octopus ทั้ง 2 จานมีความโดดเด่นเฉพาะตัวที่น่าสนใจ หากไป 2 ท่าน แนะนำสั่งทั้งคู่แล้วแบ่งกันทานดู เริ่มกันที่ Pan-seared Foie Gras, Figs Jus & ‘Troxas de Ovos’ จุดเด่นหลักของจานนี้คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก Foie Gras ที่ทางเชฟย่างบนกะทะได้พอดี ราดด้วยซอสมะเดื่อฝรั่ง หรือลูก Fig ซึ่งเจ้าลูก Fig นั้น เป็นผลไม้ประจำชาติโปรตุเกสอีกด้วย เสิร์ฟคู่กับขนมที่ที่สอดประสานวัฒนธรรมของไทยและโปรตุเกสอย่าง “ฝอยทอง” (Troxas de Ovos) แทนที่จะเป็นแยมผลไม้รสหวาน แนะนำหั่นแบ่งทุกอย่างและทานรวมกันในคำเดียวครับ มิเช่นนั้น รสชาติจะแหลมไปด้านใดด้านหนึ่ง พอทานรวมกันแล้ว รสกลมกล่อม หอม Foie Gras และมีรสหวานจากฝอยทอง ติดเปรี้ยวเล็กน้อยจากลูก Fig ตัดเลี่ยนได้ดีจริง ๆ
อีกหนึ่งจานที่ควรลองอีกเช่นกันก็คือ Charcoal-grilled Octopus with Pistachio Purée หรือหนวดปลาหมึกยักษ์ย่างถ่าน เสิร์ฟคู่กับ Pistachio Purée ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราชอบมากที่สุดในจานก็คือ “ความนุ่ม” ของเจ้าหนวดปลาหมึกยักษ์นี่แหละครับ เรียกว่านุ่มได้ใจมากจริง ๆ ตัดแบบไม่ต้องออกแรง เคี้ยวแล้วไม่เมื้อยกราม แต่ยังคงความหนึบไว้บ้าง เรียกว่า Texture ดี ทานคู่กับ Purée จะได้ความหอมมันของ Pistachio โดยรวมคือประทับใจครับ หากแต่ขาดความสดชื่นไปบ้าง คำท้ายจึงติดขมปลายลิ้นนิดหน่อย ตามรูปแบบอาหารที่ย่างด้วยถ่านนั่นเอง
Main Course มีให้เลือกระหว่าง Pan-seared Sea bass with ‘Bulhão Pato’ Sauce & Guanciale / Ibérico Pork ‘Pluma’ with Spiced Carrots Purée & Seasonal Mushrooms หรือ Rubia Gallega (add on 690.-)
ชื่อภาษาอังกฤษอาจยากสักหน่อย MenDetails ขออนุญาตแปลเป็นคำง่าย ๆ ได้แก่ ปลากระพงย่าง ราดซอสแบบฉบับโปรตุเกส / เมนูหมูดำ Ibérico จากประเทศสเปน ราดซอสเข้มข้น แล้วตัดด้วย Spiced Carrots Purée เสิร์ฟคู่กับเห็ดประจำฤดูกาล สุดท้ายคือ เนื้อวัวจากประเทศสเปน ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหอมมันเป็นพิเศษ และเลี้ยงในทุ่งแบบเปิด ให้วัวได้มีอิสระมากที่สุด ส่งผลให้ตัวเนื้อมีความนุ่มเฉพาะตัวจากอาหารที่เขาทานตามธรรมชาตินั่นเอง
เมนู Main Course ถือว่าดีตามมาตราฐาน Il Fumo จากเชฟ Nelson Amorim ครับ เนื้อปรุงได้หอมนุ่มกำลังทาน บวกกับวัตถุดิบชั้นดีจากสเปน ทำให้จานนี้มีความละมุนสูง ทานคู่กับ Carrots Purée แล้ว ตัดเลี่ยนได้ดี ส่วนเมนู Sea Bass ตัวเนื้อปลาสดมากครับ หากแต่ซอส Bulhão Pato อาจจืดบ้างในความคิดเห็นส่วนตัว แต่ถ้าท่านได้ชอบแนวไลท์ ๆ เน้นความสดแล้ว จานนี้ถือว่าทำได้ดีจริง ๆ เพราะเชฟตั้งใจชูความสดของเนื้อปลา ให้ออกมาเป็นรสชาติหลักครับ
ก่อนเข้าสู่ของหวาน ขอแนะนำจาน A la Carte กันสักหน่อย
เพราะอร่อยมาก ๆ เช่นเดียวกัน
เริ่มกันด้วย Charcoal-grilled Jumbo River Prawn with Crab Meat & Saffron (1,290.++) จานนี้ทางร้านเลือกเอาวัตถุดิบของไทยอย่าง “กุ้งแม่น้ำ” มาย่างถ่าน เสิร์ฟคู่กับเนื้อปูก้อนโต ๆ และซอสครีม Saffron จานนี้ต้องขอยกนิ้วให้เชฟ Nelson เลยครับ เพราะสามารถดึงเอาความสดของกุ้งออกมาได้เด่นชัดจริง ๆ นุ่ม เด้ง หอม มัน บอกเลยว่าครบ เนื้อปูก้อนชิ้นโต หอมหวาน ทานคู่กับเนื้อกุ้งยิ่งกลมกล่อมเป็นที่สุดครับ ต่อมาจะเป็น Baked Spanish Spider Crab ‘Txangurro’ (1,490.++) ปูแมงมุมจากประเทศสเปน ซึ่งขูดเอาเนื้อออกมากองรวมกัน รวมถึงชิ้นปูก้อน วางไว้ในกระดอง แล้วทำการอบกับซอสสูตรพิเศษ สำหรับปูแมงมุมสเปน นาม Txangurro นั้น ขึ้นชื่ออย่างยิ่งครับว่า เป็นปูที่มีรสชาติหวานหอมที่สุดสายพันธุ์หนึ่งในโลก หาทานได้เฉพาะที่ Bilbao และ San Sebastián เป็นหลัก โดยจานนี้ ทางร้านอัดเนื้อปูมาให้แบบเต็ม ๆ เลยครับ ตักไปทุกคำ ต้องเจอเนื้อปูแน่นอน รสชาติหอมมันแบบปูเต็ม ๆ คำครับ แนะนำมาก ๆ อีกจานหนึ่ง
จานสุดท้ายที่เราได้ลิ้มลองกันก็คือ Charcoal-grilled Turbot with Champagne Vinaigrette (220++ per 100g) โดยความร้านเลือกใช้ปลา Turbot ซึ่งเป็นปลาที่นิยมทานกันไปฝากฝั่งยุโรป มาย่างถ่านให้หอม ราดด้วย Champagne Vinaigrette ตัวเนื้อปลาสดมากครับ ซึ่งทางร้านไม่ได้ปรุงอะไรมากมาย ต้องเน้นความสดและรสชาติ Flavourful ของเนื้อปลาเป็นหลัก แต่สำหรับเราแล้ว คงอยากได้เกลืออีกสักนิดมาดึงความหวานของปลาให้มากกว่านี้
ของหวานมาแล้ว กับ Orange ‘Story’ และอีก 2 เมนู A la Carte
เมนู Orange ‘Story’ นั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก การศึกษาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของเชฟ Nelson ที่ค้นพบว่า หลากหลายประเทศในฝั่งตะวันออกกลาง ต่างให้ชื่อเล่นโปรตุเกสว่า “เมืองแห่งส้ม” นี่จึงเป็นที่มาของเมนูของหวานประจำ Tasting Menu 4 Courses ของร้าน Il Fumo ซึ่งหน้าตาจะเหมือนเมนูน้ำแข็งใสรสส้ม ทว่า พอคุณตักลงไปอีกนิด จะพบเนื้อส้มผสมใบมะกรูดหั่นฝอย ก่อนจะปิดท้ายด้วยพุดดิ้งมะลิ กลิ่นหอม เรียกว่า Refreshing มาก ๆ ครับจานนี้
อีก 2 เมนูของหวานของทางร้านได้แก่ Guanaja Dark Chocolate Tart with Whipped Cream (390.++) และ Strawberries & Champagne (390.++) ตัว Dark Chocolate ทางร้านเลือกใช้เมล็ดโกโก้จาก Honduras ซึ่งมีความเข้มที่สูง ทานคู่กับ Whipped Cream ช่วยสร้าง Balance ที่ดีครับ ส่วน Strawberries & Champagne ถือเป็นอีกหนึ่งตัวที่ทานได้เรื่อย ๆ เพลิน ๆ เผื่อใครอยากลองสั่งของหวานตัวอื่น นอกเหนือจากใน 4 Courses ครับ
และนี่คือ รีวิว Il Fumo ที่เราอยากให้ทุกท่านได้มาลองทานด้วยตัวเองดูสักครั้ง ไม่ว่าคุณจะมากับครอบครัว หรือทานคู่กับคนรู้ใจ ที่นี่สามารถมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนที่อื่นทั้งอาหารจากฝีมือเชฟ Nelson และบรรยากาศเป็นกันเอง ในบ้านหลังเล็ก หลบหลีกจากความวุ่นวายของเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี ร้าน Il Fumo ตั้งอยู่ในซอยใกล้ทางลงทางด่วนพระราม 4 เปิดบริการทุกวันในเวลา 17.00 น.- 22.30 น. นะครับ