หลังจากที่เราพาไปลองทานอาหารจำพวก “เนื้อ” มาได้สักพักใหญ่ มันก็ถึงเวลาที่เราจะพาคุณย้อนกลับมายังอาหารที่เป็นที่นิยมตลอดกาลในบ้านเรา นั่นก็คือ “ซูชิ” นั่นเอง และถ้าเป็นซูชิปลาดิบที่วัดกันที่คุณภาพความสดของเนื้อปลา ร้านนี้ก็ไม่แพ้ใคร แต่ที่โดดเด่นมาเป็นพิเศษก็คือ Sushi แบบ Fusion ครับ และถ้าคุณเป็นสายนี้อยู่แล้วแต่แรกคุณอาจจะพอรู้จักร้านนี้อยู่แล้วนั่นก็คือ ‘ISAO’
ร้านตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 31 ครับ สามารถจอดไว้ที่ S31 ได้ (จอดฟรี 1 ชั่วโมง ประทับตราที่ร้านครับผม) และเดินเข้ามาราวๆ 150 เมตรเท่านั้น ร้านจะตั้งอยู่ฝั่งซ้ายมือ ซึ่งทางร้านไม่รับจองโต๊ะล่วงหน้านะครับ ต้องมาจองคิวด้วยตัวเองเท่านั้น
-บรรยากาศร้านถือว่าทำออกมาได้ดีมากทีเดียวครับ ญี่ปุ่นดีจริงๆ-
ด้วยความที่เป็นแฟนอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะปลาดิบแบบซาซิมิ ร้าน ISAO จึงไม่ค่อยอยู่ในหัวของเราเท่าไร แต่เนื่องจากอยากลองทานอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยลองมาก่อน ทำให้นึกถึงร้าน ISAO ขึ้นมาแบบทันทีในหัวครับ ว่าแล้ว เราก็ลองตรงดิ่งไปที่ร้านเพื่อลิ้มรสซูชิแบบ Fusion (ค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานของชาวต่างชาติมากทีเดียว) ให้รู้แล้วรู้รอดไป ไปถึงก็ต้องรอคิวครับผม รอประมาณ 20 นาที (ซึ่งถือว่าเร็วแล้วนะ) พอได้ที่นั่งปุ๊บก็ทำการสั่งแบบรวดเร็วทันทีทันใด
ไม่รอช้า เราเริ่มต้นด้วยเมนู Signature อย่าง ‘Jackie’ กันก่อนเลย ซึ่งถือเป็นเมนูที่ใครๆ ก็ต้องสั่งครับ จุดเด่นอยู่ที่น้ำราดและรสกุ้ง
เนื่องจากเป็นเมนู Signature เราเลยเลือกสั่งมาเกือบจะทันทีที่พนักงานมารับ Order นั่นคือ ‘Jackie’ (450.-) หน้าตาจะของอาหารจะเป็นดังภาพด้านบนครับ รสชาติที่ว่ากลางๆ ในความคิดของเรานะ ไม่ได้รู้สึกว่าโดดเด่นมากมายอะไรขนาดนั้น ตัวซูชิจะมีรสกุ้งค่อนข้างชัดและสด พร้อมราดซอสที่มีรสเปรี้ยวอมหวานเบาๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโดดเด่นอย่างที่คาดคิดไว้
-เมนู Lava Maki และ Jackie ส่วนตัวชอบ Lava Maki มากกว่าครับ-
ต่อมาคือ Lava Maki (350.-) เมนูนี้ถือว่าดีเลยทีเดียวครับ แนะนำให้ลองสั่งมาทานกัน ตัวปลาแซลมอนถือว่าหอมและมันกำลังดี วางบนซูชิห่อกุ้งเทมปุระ ได้ความกรอบ Top ด้วยซอสรสหวาน ทีเด็ดทีขาดคือไข่ปลาแซลมอนนี่แหละ ซึ่งเรารู้ครับว่าคำมันใหญ่ “แต่ต้องทานทีเดียวทั้งคำนะ” รับรองว่าอร่อย / กรอบ / หอม / มัน กำลังลงตัวเลยทีเดียว
หลังจากพลาดท่ากับจานแรกไป เราเลยขอสั่งเพิ่มเป็น Sushi Sandwich ที่เหมือนว่าทุกโต๊ะที่เราไปทานวันนั้นจะสั่งกันเต็มไปหมด
ตัว Sushi Sandwich (350.-) นั้นไม่ได้ต่างอะไรมากจาก Sushi ปกติครับ สิ่งที่ทำให้ทานเพลินกว่าก็คือปริมาณแป้งเทมปุระที่แปะมาบนข้าวปั้นรูปร่างสามเหลี่ยมที่เยอะกว่าปกติ ทำให้ได้ความกรอบมันกำลังเคี้ยวเลยทีเดียว ใส่ด้านในจะเป็นปลาแซลมอนสับผสมกับมายองเนส ประกบด้วยสาหร่ายและข้าว ส่วนตัวคิดว่ากลางๆ ครับ แนะนำให้ทานคู่กับโชยุ ไม่เช่นนั้นจะเลี่ยนและจืดเกินไป
-Nigiri ถือว่าดีเยี่ยม เพราะวัตถุดิบที่ดีเลิศนั่นเอง-
กลับมาทานแบบ Traditional ล้างปากกันก่อนละกันครับ จานนี้ต้องดีแน่ๆ
สำหรับเราแล้วงั้น ซูชิแบบ Traditional ถือว่าเป็นอะไรที่คาดหวังได้จากทุกร้านที่นำเข้าปลาสดใหม่ เราเลยสั่ง Sushi แบบปกติมาทานดูด้วยเช่นกันได้แก่ Tako (90.-) ปลาหมึกยักษ์ / Engawa (180.-) ครีบปลาตาเดียว / Salmon (160.-) ปลาแซลมอน ซึ่งแต่ละอย่างที่สั่งจะมาให้ 2 คำคับผม โดยรวมรู้สึกว่ารสชาติดีมากทีเดียว วัตถุดิบสดมากครับ โดยเฉพาะปลาแซลมอน ถือว่าหวานละมุนมากจริงๆ Engawa ชิ้นโตที่มันกำลังดี บอกเลยว่าแจ่มมากจริงๆ MDs’ RECOMMENDED
-Signature Dish “Dragon” จานนี้คือ “ห้ามพลาด” โดยเด็ดขาดนะครับ-
สุดท้ายจบด้วยเมนูที่มีชื่อว่า Dragon ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเมนู Signature ของทางร้านครับ มาถึงที่นี่ทั้งที “ต้องลองให้ครบ”
เป็น Signature Dish อีกจานหนึ่งครับกับเมนู Dragon (450.-) จานนี้โดดเด่นด้วยปลาไหลครับ ซึ่งพอนำมาจับคู่กับ Avocado แล้วเนี่ย ถือว่าลงตัวเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว จานนี้คือ “A MUST” MDs’ RECOMMENDED เลยแหละ ถึงแม้ว่าเราจะอิ่มกันมากแล้วก็ตาม แต่จานนี้ซึ่งเป็นจานสุดท้ายแล้วด้วยซ้ำ กลับทำให้เรารู้สึก “มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก” รสชาติคือลงตัวมากจริงๆ ครับ ทั้งความหอมของปลาไหล ความหวานจากซอส และความมันของ Avocado คือครบรสมากจริงๆ จานนี้เราแนะนำแบบไม่ต้องคิดมากเลย
ถือเป็นร้านซูชิระดับ Hi-End ร้านหนึ่งในกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ ทั้งเรื่องราคาและคุณภาพ ซึ่งเราว่า “นานๆ ที แวะมาทานให้หายอยากคือดีงาม” แต่ถ้ามาทานบ่อยๆ น่าจะจนและเลี่ยนได้แน่นอน ซึ่งถ้าคุณกำลังมองหาซูชิดีๆ ทานอยู่ด้วยแล้ว MDs ว่า “ร้านนี้ไม่น่าทำให้คุณผิดหวัง” (ถ้าสั่งตามที่แนะนำไป) และเตรียมเงินไว้ให้พร้อม เพราะคุณอาจสั่งแบบวู่วามได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน