หากย้อนดูประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติตั้งแต่ยุคเริ่มต้นอารยธรรม เราจะพบเห็นสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทุกยุคทุกสมัย นั่นคือการ ใช้ความรุนแรง ของมนุษย์ ในการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล ไปจนถึงการต่อสู้เพื่อแย่งชิงเพื่อที่ ที่เรารู้จักกันในชื่อสงคราม
คงจะไม่ผิดนัก หากเรากล่าวว่า มนุษย์ผูกติดกับการใช้ความรุนแรงมานาน โดยเฉพาะผู้ชาย ที่มีความเข้มแข็งกว่า และทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้นำของครอบครัว ตั้งแต่ยุคโบราณก็ต้องออกล่าเพื่อหาอาหาร ต่อสู้ปกป้องบ้าน มาจนถึงยุคปัจจุบันที่มีการทำสงครามในรูปแบบต่าง ๆ
แต่เมื่อมนุษย์ผ่านการพัฒนาทางความคิดมาเป็นเวลาหลายร้อย หลายพันปี พัฒนาหลักการคิด วิเคราะห์ หาเหตุผล เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันอย่างสันติ ความรุนแรงที่อยู่ติดตัวมนุษย์จึงเริ่มหายไป ทำให้การ ใช้ความรุนแรง เป็นสิ่งที่คนยุคใหม่มองว่าไม่ถูกต้อง
สำหรับผู้ชายยุคใหม่อย่างเรา นิสัยชอบใช้ความรุนแรง เป็นสิ่งที่ทำให้คนรอบข้างขยาด ไม่อยากเข้ามาสุงสิงด้วย เป็นนิสัย “ต้องห้าม” อย่างเเท้จริง ถึงอย่างนั้น เราก็ยังพบเห็นผู้ชายที่มีนิสัยชอบใช้ความรุนแรงให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ อะไรที่ทำให้เรายังคงพบเห็นการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาของผู้ชายในยุคใหม่ เรามีวิธีไหนในการแก้ไขปัญหาได้บ้าง และเราสามารถรับมือเรื่องเหล่านี้ด้วยวิธีใด MenDetails ขอเชิญทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมกันครับ
นิสัย ใช้ความรุนแรง ในผู้ชายมาจากไหน?
เมื่อเราพิจารณาให้ลึกถึงบริบทของสังคมไทยอย่างคร่าว ๆ เราจะเห็นว่าความคิดที่ประกอบขึ้นมาจนเกิดนิสัยชอบใช้ความรุนแรงนั้น เกิดขึ้นแม้ในหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมอย่างครอบครัว ไปจนถึง สื่อ ที่มีอำนาจในการถ่ายทอดความคิดสู่คนหมู่มาก
รวมไปถึงระบบความคิดดั้งเดิมของคนไทย ที่มีลักษณะแบบ ชายเป็นใหญ่ ผู้ชาย ผู้หญิง ถูกแยกบทบาทจากกันชัดเจน จนบางครั้ง เราอาจจะเห็น ภาวะความเป็นชายเป็นพิษ (Toxic Masculinity) ที่เป็นผลลัพธ์มาจากความเชื่อแบบนี้
การใช้ความรุนแรงของผู้ชายนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ในครอบครัว เป็นความคิดที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น โดยไม่ได้ปรับให้เข้ากับบริบทของสังคมยุคใหม่ ที่เปิดกว้าง เท่าเทียม เน้นการพูดคุยเพื่อหาคำตอบ หลายครอบครัว ผู้ชายถูกปลูกฝังให้ ทำตัวเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ เป็นผู้นำ ทำตัวให้ “สมเป็นลูกผู้ชาย” เป็นเหมือนการตีกรอบการเป็นผู้ชายตั้งแต่เด็ก
ต่อมาเมื่อเข้าสู่สถานศึกษา ในระบบการศึกษาปัจจุบันที่หนังสือเรียนยังคงตีกรอบเรื่องเพศ หน้าที่ของแต่ละเพศ เป็นตัวตอกย้ำให้เรามีภาพจำของ “ความเป็นชาย” ในความคิดของสังคมไทย ใครที่ทำตัวแตกต่างออกไป มักจะโดนมองว่าผิดปกติ
เมื่อรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม ที่ผู้ชายหลายคน มักถูกท้าทายให้แสดงความ แมน ออกมาบ่อยครั้ง ทำให้เกิดภาวะความเป็นชายเป็นพิษ จากความคาดหวังของผู้ชายในสังคมไทย ที่เป็นเหมือนตรวนที่เหนี่ยวรั้งเอาไว้ บีบให้ผู้ชายต้องแสดงความเป็นชายออกมาเสมอ ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรง เพื่อตอบสนองความคาดหวังเหล่านั้น ผลลัพธ์คือ ผู้ชายที่ชอบใช้ความรุนแรง ก้าวร้าว ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างและตัวเอง
นอกจากการถูกปลูกฝังเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้ชายแล้ว สื่อเองก็มีส่วนช่วยในการสร้างผู้ชายที่ชอบใช้ความรุนแรงด้วยเช่นกัน จากการฉายภาพซ้ำผ่านละคร รายการทีวีต่าง ๆ ไปจนถึงสื่อออนไลน์ ที่เปิดรับชมได้ง่าย หลายรายการ มีการใช้ถ้อยคำ หรือแสดงแนวคิดที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง เพื่อแก้ปัญหา ทำให้เกิดการซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียน วัยรุ่น
และสุดท้าย คือ ระบบความคิด ชายเป็นใหญ่ ที่เราต้องยอมรับว่า ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ระบบความคิดนี้ ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของคนไทย ทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ สามารถใช้กำลังเมื่อตัวเองรู้สึกไม่พอใจ หรือทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการได้
แม้ในความจริงจะมีปัจจัยแยกย่อยต่าง ๆ อีกมาก ที่มีโอกาสสร้างผู้ชายที่มีนิสัยชอบใช้ความรุนแรง แต่หากมองโดยรวมแล้ว องค์ประกอบเหล่านี้ สามารถสร้างผู้ชายที่ชอบใช้ความรุนแรงออกมาได้
Non violence แนวคิดการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ที่ใช้ได้ดีในยุคใหม่
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือกัน เป็นธรรมดาที่จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่จากการวิวัฒนาการทางความคิดของมนุษย์ ทำให้เรารู้ว่า ความรุนแรง ไม่สามารถใช้แก้ปัญหาได้เสมอไป กลับกัน มันอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นด้วยซ้ำ
นั่นจึงเป็นที่มาของการ ไม่ใช้ความรุนแรง หรือสันติวิธี ในการแก้ไขปัญหา เพราะเรามองแล้วว่า การเจ็บตัว หรือการทำร้ายกันนั้นไม่คุ้ม ทางที่ดี เราควรหันหน้ามาพูดคุยกันด้วยเหตุผล เพื่อหาข้อยุติที่อยู่ตรงกลางเป็นสิ่งที่ดีกว่า
แนวคิด Non violence ถูกนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรมหลายครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ที่เราน่าจะรู้จักกันคือ การต่อสู้ของมหาตมะ คานธี มหาบุรุษของอินเดียที่ต่อสู้เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ ซึ่งเขาใช้การต่อสู้แบบสันติวิธี ไม่ใช่ความรุนแรงมาโดยตลอด ทั้งการอดอาหาร เดินประท้วง แม้จะถูกจับหลายครั้ง แต่นั่นทำให้ชาวอินเดียที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงมาเข้าร่วมกับเขา จนสามารถเปลี่ยนแปลงอินเดียได้ หรือ Martin Luther King Jr. ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนสำหรับคนผิวดำในอเมริกาก็ต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
การไม่ใช้ความรุนแรงนั้น ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการแก้ไขปัญหาระหว่างบุคคล แต่มันยังสามารถเป็นเครื่องมือทรงพลังในการแสดงสัญญะบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมในวงกว้างได้ด้วย และยังเป็นการแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง
การไม่ใช้ความรุนแรง เลยกลายเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับในยุคใหม่ เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสันติ และทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น และการใช้ความรุนแรง กลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม
ผู้ชายยุคใหม่ ไม่ ใช้ความรุนแรง
ในยุคใหม่ การใช้ความรุนแรงไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนรอบข้างอีกต่อไป ผู้ชายที่ชอบใช้ความรุนแรงจึงไม่เป็นที่นิยมของคนรอบข้าง สำหรับผู้ชายในยุคใหม่ การแก้ไขปัญหาอย่างสันติ คือ สิ่งที่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นกับผู้ชาย ผู้หญิง หรือเด็กก็ตาม
การแก้ไขปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงนั้น สิ่งที่เราควรทำคือการ พูดคุย ในเบื้องต้น การพูดคุยเป็นการหาทางออกร่วมกันที่ดีที่สุด เพื่อให้เราทำความเข้าใจเหตุผลของแต่ละฝ่าย และหาทางออกร่วมกันได้ การยอมถอยกันคนละก้าว ไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไปสำหรับผู้ชาย
ที่สำคัญคือ เราต้องฟังเหตุผลอีกฝ่าย อย่ายึดตัวเองเป็นใหญ่ เพราะการยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ จะทำให้เราไม่นอมนับ และวิเคราะห์เหตุผลของอีกฝ่าย ทำให้ตกลงกันไม่ได้ และจบลงที่การใช้ความรุนแรง
สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีตลอดเวลา คือ ความใจเย็น และสติ แสดงท่าทีให้เห็นว่าเราไม่ได้มาเพื่อทำร้าย เพื่อให้เราสามารถรับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายได้ ห้ามไปยั่วยุ พูดจาไม่สุภาพ ด่าทอ ล้อเลียน หรือแสดงความก้าวร้าว ถ้าเราเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู ก็มีโอกาสใช้ความรุนแรงต่อกันสูง
ในบางครั้ง หากการพูดคุยกันไม่ได้ผลที่ต้องการ เราอาจจะต้องเป็นฝ่ายหยุด แล้วถอยออกมา เพราะหากพูดคุยกันต่อ ก็อาจนำไปสู่การถกเถียงที่รุนแรงและจบลงด้วยการใช้ความรุนแรงเพื่อให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการ หากเป็นเช่นนั้น การที่ต่างคนต่างอยู่ ทำนิ่งเฉยไว้ หรือรอให้อารมณ์เย็นลงแล้วกลับมาคุยกันใหม่เป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การใช้ความรุนแรง นอกจากจะทำให้เจ็บตัวโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างจริงจัง ใครที่ชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา มักจะเป็นที่รังเกียจของคนรอบข้างครับ เราเป็นผู้ชายในศตวรรษที่ 21 ก็ควรใช้ตรระกะและเหตุผลมาพูดคุยกัน ถือว่าเราทุกคนเป็นมนุษย์อย่างเท่ากัน เราควรเคารพซึ่งกันละกันนะครับ
หากพบเห็นการ ใช้ความรุนแรง เราเองสามารถช่วยเหลือได้
แม้เราเองจะไม่ได้เป็นคนที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายครั้งในสังคม เราเห็นความรุนแรงเกิดขึ้น และเราไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งในการรับมือ หรือช่วยเหลือคนที่มีแนวโน้มว่าจะใช้ความรุนแรงได้ครับ
เราสามารถเข้าไปห้าม หรือไปไกล่เกลี่ย พูดคุย เพื่อแยกคนที่มีโอกาสใช้ความรุนแรงใส่กันได้ แต่ในกรณีที่เป็นการทำร้ายผู้หญิง หรือเด็ก ที่เราไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้โดยตรง เราสามารถแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมาให้ความช่วยเหลือได้
การนิ่งเฉยต่อการใช้ความรุนแรง ก็เท่ากับเราสนับสนุนให้เกิดความรุนแรงนั้น ในฐานะที่เราเป็นผู้ชายยุคใหม่ ที่ไม่นิยมการใช้ความรุนแรง เราสามารถช่วยเหลือคนที่ถูกใช้ความรุนแรงได้ เพื่อให้สังคมน่าอยู่ขึ้น
“ชีวิตเราเริ่มที่จะจบลงในวันที่เรานิ่งเฉยต่อสิ่งที่มีค่ากับชีวิตของเรา”
– Martin Luther King Jr.
ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง ความรุนแรงไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหา ไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจ และไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายควรใช้ เพราะการมาพูดคุยทำความเข้าใจกันด้วยเหตุผล เพื่อหาทางออก เป็นวิธีการแก้ไขความขัดแย้งอย่างแท้จริงและยั่งยืน