MDs’ Grooming สำคัญมากกว่าการทำให้ตัวเองดูดี มันอาจเป็นการเพิ่มโอกาสที่มองไม่เห็นให้กับคุณ หากคุณออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าหน้าผมผิวที่พร้อม สะท้อนบุคลิกความเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกภาพที่ดีเยี่ยมในแบบฉบับของตัวเอง คนรอบข้างจะมองว่า เมื่อหนุ่มคนนี้ดูแลตัวเองได้ดี ก็น่าจะดูแลคนอื่นได้ดีเช่นกัน แต่ก่อนจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างสกินแคร์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมความดูดีอย่างเครื่องสำอางต้องรู้จักสภาพผิวของตัวเองก่อน ว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ถูกประเภทและเหมาะสมกับผิวของคุณ
ผิวผู้ชายต้องการการดูแลไม่แพ้ผิวผู้หญิง
photo : motoringessentialsguide.com
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องผิวผู้ชายแก่ช้ากว่าผู้หญิง นั่นเป็นเรื่องจริงครับ เพราะผิวเราหนากว่า มีปริมาณอีลาสตินและคอลลาเจน (ที่ช่วยเรื่องความเต่งตึงและเรียบเนียน) มากกว่าผู้หญิง จึงทำให้มีสัญญาณผิวที่ช้ากว่า กลายเป็นผิวดูแก่ช้า แต่อย่าเพิ่งดีใจและคิดว่าผิวของเราไม่จำเป็นต้องดูแลครับ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ตอนผิวเริ่มมีริ้วรอย ผิวผู้ชายจะมีร่องลึกกว่าผู้หญิง เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากกว่า และยังมีแนวโน้มผิวแห้งง่ายกว่าผู้หญิงอีกด้วย
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ผิวเราอาจจะแก่แซงคุณผู้หญิงที่ดูแลตัวเองมาอย่างดี เพราะไม่เคยบำรุงหรือให้อาหารผิวมาก่อน
ทำความรู้จักประเภทผิว
โดยธรรมชาติลักษณะโครงสร้างผิวของผู้ชายจะแตกต่างจากผู้หญิง เนื่องจากมีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนอยู่ และต่อมผลิตไขมันยังทำงานมากกว่าผู้หญิง 2 เท่า ทำให้ผิวผู้ชายมันกว่า มีค่า pH ต่ำกว่า และมีโอกาสเป็นสิวได้ง่ายกว่า
photo : livingindustries.com
นอกจากนั้นสภาพผิวของผู้ชายแต่ละคนก็แตกต่างกันด้วยปัจจัยภายในและภายนอกอย่างสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน (ซึ่งปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลต่อสภาพผิวของคุณ อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ (Link ไป : 5 พฤติกรรมที่อาจทำให้ผิวผังแบบไม่รู้ตัว))
– ผิวแห้ง (Dry Skin) –
photo: hisstylediary.com
โดยธรรมชาติผิวผู้ชายกักเก็บความชุ่มชื้นได้ไม่ค่อยดี ผิวแห้งเป็นผิวที่ขาดความชุ่มชื้น มีโอกาสลอกเป็นขุย อาจสัมผัสได้ถึงความแห้งหยาบบนใบหน้า หรือเมื่อล้างเสร็จเสร็จแล้วรู้สึกตึงที่ผิวหน้า หากคุณเคยได้ยินคำว่า ‘ผิวขาดน้ำ’ ก็คือผิวประเภทนี้นั่นเอง ข้อดี คือ ไม่ค่อยมีปัญหาสิวเสี้ยน แต่เป็นผิวที่อาจเกิดริ้วรอยเร็วกว่าผิวประเภทอื่น
– ผิวธรรมดา (Normal Skin) –
ถ้าคุณเป็นคนที่มีผิวธรรมดาต้องบอกเลยว่าโชคดีมาก เพราะจะไม่ค่อยมีปัญหาผิวหน้า สามารถเลือกซื้อเมคอัพและสกินแคร์ได้อย่างสบายๆ ผิวธรรมดาเป็นตัวแทนของความบาลานซ์ ผิวไม่แห้งและไม่มันจนเกินไป ซึ่งบริเวณ T-zone (หน้าผาก, คาง และจมูก) อาจมีความมันเล็กน้อย เมื่ออากาศร้อนผิวจะไม่มันเยิ้ม และเมื่ออากาศเย็นจะไม่แห้งจนเป็นขุย
– ผิวมัน (Oily Skin) –
ผิวมันจะมีลักษณะผิวไม่เรียบเนียน รูขุมขนกว้าง เป็นผิวที่สังเกตได้ง่าย เพียงแค่ใช้นิ้วลูบบนใบหน้าก็จะสัมผัสได้ถึงความมัน ซึ่งเกิดจากการผลิตความมันในปริมานมากเกินไป เพราะฮอร์โมนเพศชายกำหนดขนาดของต่อมไขมัน และต่อมไขมันที่ใหญ่เป็นสาเหตุของเรื่องรูขุมขนกว้าง สภาพผิวมันยังเป็นผิวที่มีโอกาสเกิดสิวเสี้ยน สิวอุดตันง่ายกว่าผิวประเภทอื่น
– ผิวผสม (Combination Skin) –
photo : hisstylediary.com
ถ้าอ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วยังรู้สึกว่าไม่มีผิวแบบไหนที่ใช่คุณเต็มร้อย เพราะบนใบหน้าคุณมีทั้งส่วนที่มีความมันมากและแห้งมากอยู่ด้วยกัน แปลว่า คุณมีสภาพผิวแบบผิวผสม คือ มีลักษณะของผิวหลายประเภทอยู่ร่วมกัน โดยสภาพผิวในบริเวณที่เป็น T-Zone มีความมันมาก ในขณะที่ช่วงแก้มจะแห้ง เป็นสภาพผิวที่คนไทยเป็นกันเยอะ ซึ่งผิวผสมต้องเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลให้เหมาะกับสภาพผิวในแต่ละส่วนของใบหน้าให้ดี
เช็คสภาพผิวง่ายๆ ด้วยตนเอง
photo : Top10wise.com
เมื่อรู้จักประเภทผิวแล้ว เรามาลองเช็คสภาพผิวของตัวเองกันดีกว่า ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเป็นพิเศษเลย เพียงแค่เริ่มล้างหน้าด้วยโฟมหรือผลิตภัณฑ์ที่คุณมี หากปกติล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า แนะนำให้ใช้โฟมล้างก่อนเพื่อขจัดความมันบนใบหน้าออกไปครับ หลังจากนั้นอย่าเพิ่งลงผลิตภัณฑ์ใดๆ บนใบหน้า ปล่อยไว้ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยมาสังเกตกันครับ สภาพผิวที่ปรากฏบนใบหน้า คือ ประเภทผิวของคุณ
หากผิวหน้าไม่ลอก ไม่มัน รู้สึกผิวนุ่มเนียน แสดงว่าเป็นผิวธรรมดา ถ้าหน้าหน้าดูเงาและมีความมันออกมาเยอะ แสดงว่าเป็นผิวมัน แต่ถ้าผิวหน้าดูแห้งแตกหรือเป็นลุยเท่ากับคุณมีผิวแห้ง และสุดท้ายผิวผสม จะมันบริเวณช่วง T-Zone บริเวณอื่นจะรู้สึกแห้ง
เมื่อได้รู้จักประเภทผิวทั้งสี่ไปแล้ว และได้เช็คสภาพผิวของตัวเองแล้วว่าผิวหน้าจัดอยู่ในลักษณะผิวแบบไหน ก็สามารถเลือกเมคอัพและสกินแคร์ที่เหมาะกับตัวเองได้แล้วครับ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว จะดึงประสิทธิภาพออกมาได้ดีและเห็นผลชัดที่สุด