เดินทางกันมาถึง Part 3 แล้ว กับคู่มือเบียร์สำหรับมือใหม่ ที่ใน 2 part ก่อน เรารู้จัก ประเภทเบียร์ ว่ามีอะไรบ้าง และยังลงลึกไปถึง สไตล์ของลาเกอร์ที่น่าสนใจ ไปแล้ว ใน part สุดท้ายนี้ ก็จะเป็นการพูดถึง เอล (Ale) เบียร์อีกประเภทหนึ่งที่คนไทยหลายคนอาจจะรู้สึกว่าไม่คุ้น แต่ความจริงแล้วเราอาจจะดื่มกันบ่อยกว่าที่คิด
มันคือเบียร์แบบไหน มีความเป็นมาอย่างไร มีเอลแบบไหนที่เราควรรู้จัก และที่คนไทยนิยมดื่ม MenDetails ขอพาทุกท่านไปรู้จักกับมันพร้อมกันครับ
เอล หนึ่งในเครื่องดื่มเก่าแก่ของมนุษยชาติ
เอล เป็นเบียร์ที่ใช้การหมักแบบ Top-Fermenting Yeast หรือ ยีสต์ประเภทหมักลอยผิว หมักในอุณหภูมิประมาณ 15 – 24 °C เเละใช้เวลาหมักน้อยกว่าลาเกอร์ เอล (หรือเบียร์โดยรวม) ถือเป็นเครื่องดื่มเก่าแก่ชนิดหนึ่งของมนุษยชาติ ไม่แพ้ไวน์ เลยครับ มีหลักฐานย้อนกลับไปได้หลายพันปี แม้กระทั่งในหินแกะสลักของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ยังมีเรื่องราวของเครื่องดื่มหมักคล้ายเบียร์บันทึกเอาไว้ ทำให้รู้ได้ว่า มนุษย์กับของมึนเมาอยู่คู่กันมานานกว่าที่เราคิด
ในประวัตศาสตร์ของเอลนั้น ในยุคแรกจะหมายถึงเครื่องดื่มที่หมักโดยไม่ใส่ฮ็อปลงไปครับ แต่จะใช้วัตถุดิบอื่นในการหมักและให้ความขม คือ Gruit เป็นเครื่องเทศหรือสมุนไพรต่าง ๆ ที่นำมาผสมกัน ก่อนที่จะใส่ลงไปผสมกับ Wort (ของเหลวที่สกัดจากมอลต์ เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเบียร์) แล้วนำไปหมัก ก่อนที่ยุคต่อ ๆ มา จะเปลี่ยนมาใช้ฮ็อป
เอลได้รับความนิยมอย่างมากในยุคกลาง และน่าจะถือว่าเอลในยุคกลางนี้ คือต้นกำเนิดของเบียร์ (ทั้งลาเกอร์และเอล) ในปัจจุบัน เอลในยุคนั้นถือเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารสำคัญ นอกเหนือจากขนมปัง กับข้าวต้ม เพราะทำมาจากข้าวบาเล่ย์ ทำให้มันให้พลังงานได้เยอะ และทำง่าย ไม่ว่าจะคนจนหรือรวย สามารถดื่มเอลได้ทั้งนั้น โดยจะมีเบียร์ที่เรียกว่า Small beer ที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง แอลกอฮอลน้อย แม้แต่เด็กในยุคนั้นก็ดื่มกัน
เบียร์ในยุคนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการหมักและบริโภคกันในครัวเรือน หรือในชุมชน โดยจะมีคนที่ทำหน้าที่ในการหมักเบียร์โดยเฉพาะ และมีการแลกเปลี่ยนหรือขายบ้างตามสมควร ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีการใส่ส่วนผสมในการหมักที่ต่างกันไป ในสมัยที่ยังไม่ใช้ฮ็อป ต่อมานักบวชในโบสถ์คริสต์หลายแห่ง ก็มีการหมักเบียร์ของตัวเองขึ้น และนักบวชเหล่านี้เอง คือผู้ที่ทำให้ความรู้เกี่ยวกับการหมักเบียร์เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งการเริ่มใส่ฮ็อป และส่วนผสมอื่น ๆ
ด้วยความนิยมของเอลนี้เอง ทำให้ประเทศแถบยุโรปตอนเหนือกลายเป็นแหล่งผลิตเอลสำคัญในยุคนั้นไปโดยปริยาย และอังกฤษเป็นหนึ่งประเทศที่มีการผลิตเอลเยอะมาก ทำให้ในสมัยต่อ ๆ มา ที่อังกฤษมีอาณานิคมอยู่ทุกมุมโลก เอลจึงถูกส่งไปตามดินแดนเหล่านั้น และทำให้เอลกลายเป็นที่รู้จัก รวมถึงยังเกิดเอลประเภทใหม่ ๆ อย่าง India Pale Ale หรือ IPA ที่เรานิยมกันในปัจจุบันอีกด้วยครับ
แม้กระทั่งการเดินทางไปในดินแดนใหม่บนทวีปอเมริกา เอลก็ยังเดินทางไปด้วย โดยเอลแบบอังกฤษได้รับความนิยมมาก มีโรงเบียร์เกิดขึ้นเต็มไปหมด ก่อนที่ลาเกอร์จะกำเนิดได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 19 ทำให้คนเริ่มหันไปดื่มลาเกอร์มากกว่า เพราะดื่มง่าย แถมยังให้ความสดชื่น แต่ในปัจจุบันเราก็มีเบียร์แบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะลาเกอร์ หรือ เอลให้เลือกมากมาย และเอลหลายประเภทก็ยังสามารถครองใจคนได้อย่างไม่เสื่อมคลายครับ
ประเภทของเอล ที่ควรรู้จัก
Pale Ale เอลสีอ่อน ที่กำเนิดในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 และในยุคต่อมา ผู้ผลิตแต่ละเจ้า ก็ทำการใส่ฮ็อปและส่วนผสมอื่น ๆ ลงไปในปริมาณที่ต่างกัน ทำให้รสชาติ และกลิ่น แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้ว Pale Ale เป็นเอลที่มีความสมดุลทั้งรสชาติ ความขม และกลิ่น แต่เมื่อมีการพัฒนา Pale Ale แยกย่อยลงไปมากขึ้น ทำให้ Pale Ale บางประเภท อาจจะมีความขมมากเป็นพิเศษ
Indian Pale Ale (IPA) เป็นหนึ่งในเอลที่เรานิยมดื่มกัน โดย IPA จะอยู่ในร่มของ Pale Ale อีกทีหนึ่ง แต่จะมีรสชาติขมที่โดดเด่น และกลิ่นฟรุ๊ตตี้ที่มากกว่า Pale Ale ปกติ
IPA มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจไม่น้อย โดยกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 ตอนที่อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมของอินเดีย ทำให้โรงเบียร์เริ่มส่งเบียร์ไปขายในอินเดียด้วย แต่เพราะเส้นทางที่ไกล ทำให้ Pale Ale ธรรมชาติอาจจะเสีย หรือรสเปรี้ยวเสียก่อน ทำให้โรงเบียร์เกิดความคิดในการเพิ่มปริมาณฮ็อปลงไป เพื่อให้เก็บรักษาได้นานขึ้น ด้วยความหอมฟรุ๊ตตี้ และความขมของมัน ทำให้มันได้รับความนิยมมาก แม้แต่ในประเทศอังกฤษเอง หลังจากนั้นจึงมีการพัฒนา IPA แตกออกไปอีก เช่น Double IPA, Triple IPA, West Coast IPA เป็นต้น
Brown Ale เอลสีน้ำตาลตามชื่อ มีปริมาณฮ็อปที่น้อยลง และรสชาติอ่อนลงมา มักจะมีรส nutty อยู่นิด ๆ และหวานหน่อย ๆ ในบางเจ้าอาจจะมีรสชาติของคาราเมลและช็อกโกแลต ทำให้ดื่มได้ง่ายกว่า ได้รับความนิยมในอังกฤษ เบลเยี่ยม และสหรัฐอเมริกา ความเข้มของรสมอลต์ ความ nutty รสคาราเมลกับ ช็อกโกแลต ไปจนถึงความหวานของมัน จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและภูมิภาคที่ผลิตครับ
Porter และ Stout เป็นเบียร์สีดำ ที่จัดอยู่ในประเภท Ale ถือกำเนิดขึ้นบนเกาะอังกฤษ เมือง London ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 หลายคนอาจจะสับสนว่า Porter และ Stout มันแตกต่างกันอย่างไร ใช้อะไรแยก เพราะในปัจจุบัน เราเรียกทั้งสองอย่างนี้ ผสมปนเปกันมั่วไปหมด แต่หากสรุปแบบเข้าใจง่าย ต้องบอกว่า stout เคยเป็นชื่อเรียกของ strong porter (Porter ที่มีปริมาณแอลกอฮอลแรง) ที่ในปัจจุบันก็ใช้เรียกได้ทั้งคู่ ขึึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตเบียร์นั้นจะใช้คำว่าอะไร
จุดเด่นของเอลชนิดนี้ คือมีกลิ่นหอมไหม้จากมอลต์คั่วที่ใช้ในการหมัก มีรสออกไปทางหวาน และมีรสของโกโก้ หรือ กาแฟจาง ๆ ผู้ผลิตแต่ละที่ก็จะมีความแตกต่างในเรื่องของกลิ่น และความหวานที่ต่างกันออกไปครับ
นี่คือ Ale ประเภทต่าง ๆ ที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จัก และยังถือเป็นการสิ้นสุดการเดินทางของ Beer Guide for Beginners เช่นกันครับ หวังว่าบทความทั้ง 3 part จะทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องของเบียร์ประเภทต่าง ๆ มากขึ้น และสนุกไปกับการได้ลองดื่มเบียร์ชนิดใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยลอง ถือเป็นการเปิดโลกไปในตัวครับ
สุดท้ายก็ขอฝากไว้ว่า เวลาดื่มให้มีสติ และรับผิดชอบในการดื่มทุกครั้งนะครับ หวังว่าการดื่มเบียร์ครั้งต่อ ๆ ไปของทุกคน จะมีความสุขครับ