หากจะพูดถึงรถยนต์สักตระกูลที่มีอิทธิพลต่อวงการยานยนต์รวมไปถึงชีวิต วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์เท่ ๆ แบบผู้ชาย ในความเห็นของ MenDetails คงไม่มีรถยนต์ตระกูลไหนเหมาะสมไปกว่า BMW Z Series นี่คือรถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่งหรือ Roadster ที่มีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุดของ BMW ประวัติศาสตร์อันยาวนานของรถตระกูลนี้บ่งบอกถึงความพยายามในการรังสรรค์สิ่งที่เป็นมากกว่าความสนุกบนท้องถนน แต่ยังรวมถึงสไตล์ที่น่าหลงใหล และการเป็นเครื่องบ่งบอกถึงฐานะหน้าตาทางสังคมของผู้ครอบครอง และในบทความนี้ เราจะมาย้อนดู ประวัติ BMW Z Series ตั้งแต่จุดเริ่มต้นกันครับ
Z Series เกิดขึ้นจากความต้องการของ BMW ที่อยากจะสร้างรถสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่งขนาดเล็กที่มีความปราดเปรียว ขับสนุก และมีความคล่องตัวสูง หลังจากหมดยุคของ BMW 507 บริษัทก็ไม่ได้เดินหน้าสานต่อโครงการรถสปอร์ตใดอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงช่วงปลายยุค 80’s คลังความคิดสร้างสรรค์ของบรรดาวิศวกร ช่างเทคนิค และนักออกแบบก็ได้รับไฟเขียวในการสร้างรถในอุดมคติของพวกเขาให้เป็นจริง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการพัฒนา Roadster ที่น่าหลงใหลที่สุดซีรีส์หนึ่งของโลกขึ้นมา
BMW Z1 1989 – 1991
หลังจากได้รับไฟเขียวเริ่มต้นโครงการพัฒนาได้เพียงปีเดียว รถยนต์ Z Series รุ่นแรกก็ได้เปิดตัวสู่สาธารณะในเดือนสิงหาคม ปี 1986 มันมีชื่อว่า Z1 โดยตัวอักษร Z ย่อมาจากคำว่า “Zukunft” แปลว่า “อนาคต” ในภาษาเยอรมัน และเริ่มต้นเข้าสู่สายการผลิตในปี 1989 โดยใช้แพลตฟอร์มของ 3 Series รหัส E30 เป็นพื้นฐาน จุดเด่นของ Z1 คือประตูแบบ Slide door เลื่อนลงไปเก็บไว้ที่ตัวถังด้านข้างซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่มากในยุคนั้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่ล้ำสมัยกว่ารถยนต์ร่วมรุ่น พร้อมกับความกะทัดรัดตามความตั้งใจของผู้ออกแบบ ติดตั้งหลังผ้าใบ และออกแบบให้สามารถถอดชิ้นส่วนตัวถังทั้งหมดออกได้
หัวใจของ Z1 คือเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 2.5 ลิตร 170 แรงม้า ที่หยิบยืมมาจากจาก BMW 325i ให้สมรรถนะการขับขี่เร้าใจพร้อมกับความคล่องตัวสูง และยังเป็นรถรุ่นแรก ๆ ของ BMW ที่ใช้ระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงก์ที่มีความนุ่มนวลและให้ประสิทธิภาพการควบคุมที่ดีทั้งการวิ่งทางตรงและในโค้ง BMW Z1 ทำตลาดอยู่เพียง 3 ปีก็ยุติสายการผลิตลงในเดือนมิถุนายน ปี 1991 โดยผลิตออกมาทั้งหมดราว 8,000 คันเท่านั้น
BMW Z3 1995 – 2002
Z Series รุ่นที่ 2 เปิดตัวในปี 1998 โดยเว้นว่างจากเจเนอเรชันแรกอยู่พอสมควร มันใช้ชื่อว่า Z3 มาพร้อมกับรูปลักษณ์หน้าตาที่ทันสมัยมากขึ้น พร้อมนำเสนอ Design language แบบใหม่ได้แก่แนวฝากระโปรงหน้ายาวและช่วงท้ายสั้นซึ่งเป็นต้นฉบับของ Z Series ทุกเจนฯ มาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงหลังคาผ้าใบและบอดี้ขนาดกะทัดรัดก็ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นพี่เจนฯ แรกเช่นกัน แต่ประตูแบบ Slide door ไม่ได้ไปต่อในเจนฯ นี้
Z3 โด่งดังถึงขีดสุดกับการเป็นรถคู่กาย Pierce Brosnan ในภาพยนตร์ 007 Goldeneye ซึ่งการมีส่วนร่วมกับภาพยนตร์ครั้งนี้ได้กลายเป็นกระแสอยู่พักใหญ่จน BMW ต้องเข็นรุ่นพิเศษ James Bond Edition จำนวน 100 คันออกมาให้แฟน ๆ ได้เก็บสะสมซึ่งขายหมดในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น
สำหรับขุมพลังของ Z3 มีตั้งแต่เบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร ไปจนถึงรหัส M ที่มากับขุมพลัง 6 สูบเรียง 3.2 ลิตร 321 แรงม้า นอกจากนี้ Z3 ยังมีตัวถังคูเป้ตามออกมาอีกในปี 1998 มีการปรับโฉม LCI ในปี 1999 และสิ้นสุดสายการผลิตในเดือนมิถุนายนปี 2002 โดยมียอดการผลิตทั้งหมดราว 15,000 คัน
BMW Z8 1998 – 2003
Z8 เปิดตัวในปี 1998 นี่คือรถที่พัฒนามาจากรถต้นแบบ Z07 Concept และเป็นรถที่ BMW ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อรำลึกและเฉลิมฉลองให้กับ BMW 507 อันเป็นตำนาน Roaster จากยุค 50’s รูปลักษณ์ดีไซน์ถูกปรับให้เข้ากับยุคมิลเลนเนียม นำเสนอความหรูหราภายใต้ตัวถังที่โค้งมนกลมกลืนหัวจรดท้าย และเป็นอีกครั้งที่มันถูกดึงไปเป็นดาราประกบคู่กับ Pierce Brosnan ในภาพยนตร์ 007 The World Is Not Enough แม้กระแสจะไม่ฟีเวอร์เท่า Z3 แต่มันก็เป็นที่น่าจดจำและขึ้นแท่นเป็นรถสะสมราคาแพงในปัจจุบัน
หัวใจของ Z8 เป็นขุมพลัง V8 5.0 ลิตร กำลัง 500 แรงม้า ประกบคู่เกียร์แมนวล 6 สปีด ให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมจากตัวเลข 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.2 วินาที!
BMW Z8 สิ้นสุดการผลิตในปี 2003 โดยผลิตออกมาทั้งสิ้น 5,703 คัน นับเป็น Z Series ที่มีจำนวนน้อยและหาดูได้ยากที่สุดของตระกูล
BMW Z4 (Roadster E85 / Coupe E86) 2002 – 2008
Z Series เจเนอเรชันที่ 4 มาในชื่อ Z4 เปิดตัวในปี 2002 ที่งาน Paris Motor Show ก่อนจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปีถัดมา โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่มากับเส้นสายเฉียบคมตามแนวคิดของ BMW ที่อยากให้ทุกคนมองแล้วจินตนาการได้ถึงตัวอักษร Z คงเอกลักษณ์ฝากระโปรงหน้ายาวและท้ายสั้นจากรุ่นพี่ Z3 เอาไว้ชัดเจน เจนฯ นี้มาพร้อมระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก รวมถึงมีการปรับปรุงทางวิศวกรรมครั้งใหญ่จาก Z8 รุ่นก่อนหน้า
เครื่องยนต์ของ Z4 มีตั้งแต่ 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร ไปจนถึงรหัส M ที่มากับขุมพลัง 6 สูบเรียง 3.2 ลิตร กำลัง 338 แรงม้า มีการปรับโฉม LCI ในปี 2006 พร้อมกับเพิ่มตัวถังคูเป้ออกมาเสริมตลาด อีกหนึ่งความน่าจดจำของเจนฯ นี้คือมันถูกใช้ในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตอย่างแพร่หลายเนื่องจากนักขับและช่างเทคนิคหลาย ๆ ทีมต่างยอมรับว่ามันเป็นรถที่มีบาลานซ์ดีและรองรับการปรับแต่งได้เยอะตามต้องการ
BMW Z4 E85 / E86 สิ้นสุดสายการผลิตในปี 2008 พร้อมยอดขายทั่วโลกที่มากถึง 197,950 คัน ถือเป็น Z Series ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านชื่อเสียงและยอดขายมากที่สุดของตระกูลมาจนถึงปัจจุบัน
BMW Z4 (E89) 2009 – 2016
ชื่อ Z4 ถูกนำมาใช้อีกครั้งในรหัสตัวถัง E89 เปิดตัวในปี 2009 และวางขายในปีเดียวกัน รูปลักษณ์ภายนอกมีการพัฒนาจาก Roadster ขนาดเล็กแฝงความสนุกซุกซนตามแบบฉบับวัยรุ่นให้ดูมีความหรูหราและโตขึ้นตามแบบฉบับรถ Grand Tourer พร้อมขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารกว้างขึ้น สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากขึ้น และมาพร้อมหลังคาพับแบบแข็งและเทคโนโลยี EfficientDynamics เพื่อเสริมประสิทธิภาพด้านการขับขี่และการใช้เชื้อเพลิงเป็นครั้งแรก
เครื่องยนต์มีตั้งแต่ 4 สูบ 2.0 ลิตร ตัวเริ่มต้น จนถึง 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร 335 แรงม้า เจนฯ นี้ ไม่มีเวอร์ชัน M และตัวถังคูเป้ให้เล่นแต่ยังได้รับความนิยมในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตไม่แพ้รุ่นก่อนหน้า มีการปรับโฉม LCI ในปี 2013 ก่อนจะสิ้นสุดการผลิตในปี 2016 ทำยอดขายทั่วโลกไปได้ราว 118,444 คัน หลายคนยกให้ Z4 (E89) เป็น Roadster ที่มีเสน่ห์ไม่ตกยุค เป็นรถที่ขับสนุก หรูหรา และเปรียบดั่งจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ต BMW ในยุคปัจจุบัน
BMW Z4 (G29) 2018
เดิมที Z Series เหมือนจะถูกปิดตำนานลงไปแล้วพร้อมกับ Z4 E89 แต่แล้วในปี 2018 ชื่อของ BMW Z4 ก็กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในวงการอีกครั้งเป็นรอบที่สามโดยมากับรหัสตัวถัง G29 และวางขายจริงในปี 2019 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (ปี 2023) G29 โดดเด่นด้วยเส้นสายตัวถังที่ทันสมัยและเฉียบคมยิ่งขึ้น แฝงด้วยความหรูหราตามแบบฉบับรถ Grand Tourer เต็มสูบ มิติตัวถังใหญ่กว่า Z4 E89 เล็กน้อย คงเอกลักษณ์ฝากระโปรงหน้ายาว ท้ายสั้น และกลับมาใช้หลังคาผ้าใบอีกครั้ง ห้องโดยสารตกแต่งหรูหราและเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีการปรับปรุงเรื่องเสียงรบกวนในขณะขับขี่ให้ลดลง
ในส่วนของเครื่องยนต์มี 2 ตัวเลือก ได้แก่ เบนซิน 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร เทอร์โบ กับเบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบ สำหรับเวอร์ชัน M และตัวถังคูเป้ยังไม่มีออกมาในตอนนี้ โดยรหัสที่แรงที่สุดจะเป็น Z4 M40i ที่มากับพละกำลังสูงสุด 382 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.2 วินาที! นี่คือรถที่ BMW เคลมว่าเป็น Z Series ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ตระกูลนี้ถือกำเนิดขึ้น
นี่คือ ประวัติ BMW Z Series ตลอดระยะเวลากว่า 37 ปี กับการเดินทางตลอด 6 เจเนอเรชันของ Roadster ที่มีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุดซีรีส์หนึ่งในโลกยานยนต์ BMW Z Series ผ่านการพิสูจน์มาหมดแล้วว่าทำไมมันจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นรถคู่กายของชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยทั่วโลก มันเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของความเป็นรถเปิดประทุน 2 ที่นั่งขนาดเล็กที่ไม่เพียงแต่ความอิสระที่ได้รับจากการขับขี่แบบเปิดรับสายลม แต่ยังรวมถึงรูปลักษณ์สุดเย้ายวนที่ถูกถ่ายทอดดีเอ็นเอมาตั้งแต่ Z1 รุ่นแรกในอดีตเดินทางผ่านกาลเวลามาจนถึง Z4 G29 ในปัจจุบัน พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่สุดเร้าใจที่มอบความสนุกตื่นเต้นทุกครั้งยามกดคันเร่ง ทั้งหมดเป็นความสุขที่ยากจะอธิบายด้วยตัวอักษร แต่มันกำลังรอให้หนุ่ม ๆ หัวใจรักความเร็วทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง
ไม่ว่าคุณจะเป็นสุภาพบุรุษมาดเนี๊ยบ หนุ่มสายชิลรักอิสระ หรือหนุ่มสายเปย์รักความสนุก สไตล์อันโดดเด่นของ Z Series จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้คุณดูดีขึ้นไปอีกระดับ เพียงแค่เปิดประตูลงจากรถก็หล่อแล้ว และวันนี้คุณก็สามารถครอบครองยนตรกรรม Roadster สุดเท่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณอันน่าหลงใหลได้แล้วด้วยราคาเริ่มต้น 4.129 ล้านบาท จะรอช้าทำไม ไปลองขับกัน!
Source:
– bimmer-th.com
– www.motoringresearch.com
– www.bmwakron.com