หากกล่าวถึงเครื่องดื่มที่กลายเป็น Culture ของคนเมืองในยามเช้าแล้วนั้น กาแฟ (Coffee) หรือ Caffè (ในภาษาอิตาเลี่ยน) ถือเป็นเครื่องดื่มที่ใครหลาย ๆ คน ต้องมีติดไม้ติดมืออยู่เสมอ ๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ทว่า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน วิถีในการเลือกดื่มกาแฟก็ยิ่งถูกปรับไปตามประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น จากสมัยก่อนนั้น เรายังไม่เคยได้รู้จักคำว่า Americano หรือแม้แต่ Latte เลยด้วยซ้ำ ซึ่งหลังจากที่เราได้แนะนำกาแฟแบบชงเข้มถึงใจอย่าง Espresso กันไปแล้ว MenDetails จะขอแนะนำอีก 2 ตัวที่คุณควรรู้จัก กับ Ristretto / Doppio และ Lungo อีก 3 เมนู Caffè ที่คุณควรลองตามแบบฉบับชาวอิตาเลี่ยนแท้ ๆ
โลกของกาแฟ จากมุมมองชาวอิตาเลี่ยน
กาแฟ ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ คุณสามารถเดินหาร้านกาแฟได้ง่าย ๆ ในประเทศอิตาลี และแน่นอน ป้ายส่วนใหญ่ที่ปรากฏหน้าร้านจะเขียนว่า BAR เป็นหลัก หากเป็นร้านกาแฟของคนท้องถิ่นจริง ๆ ซึ่งเวลาเราไปท่องเที่ยว เรามักไม่คิดหรอกครับว่า BAR จะเท่ากับ กาแฟ ซึ่งในมุมของคนอิตาลีเอง กาแฟที่ทานกันนั้น มีไม่มาก เมนูส่วนใหญ่มักใช้เวลาทานเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น แถมนิยมนั่งทานที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์อีกด้วย (เพราะราคาถูกกว่า)
เมนูที่คนอิตาลีสั่งบ่อยที่สุดคือ Caffè หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ กาแฟ Espresso ทว่าคนอิตาลีเอง ไม่เรียกกาแฟชนิดนี้ว่า Espresso ครับ ดังนั้นไม่ต้องตกใจ หากคุณเลือกสั่ง Caffè แล้ว ได้กาแฟถ้วยเล็ก ๆ มา 1 ถ้วยถ้วน เพราะนี่คือกาแฟที่พวกเขานิยมทานกัน
ตัดภาพมาที่ประเทศไทย คำว่า กาแฟ ได้ถูกปรับให้กลายเป็นศาสตร์ที่หลาย ๆ คนเข้าถึงได้มากขึ้น ผู้ชงเริ่มมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และแน่นอนครับว่า เมนูการชงจึงมาความหลากหลายมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกันในร้านกาแฟบ้านเรา โดยเฉพาะช่วงนี้ที่กาแฟแบบ Drip Coffee กลายเป็นหมุดหมายของคอกาแฟ ทว่า ชาวอิตาเลี่ยนนั้น มีเมนูโปรดปรานอยู่ 3-4 ชนิดเท่านั้นและไม่มีกาแฟดริป อยู่ในนั้นเลย
Ristretto
หากคุณชื่นชอบรสชาติที่ หอม เข้ม กลิ่นที่ละมุน และไม่ติดเปรี้ยว แต่ยังให้ความหวานที่ปลายลิ้น นี่คือเมนูที่ควรค่าแก่การลองครับ เจ้า Ristretto คือเมนูกาแฟที่ใช้สัดส่วนของน้ำในการดึงเอารสชาติของกาแฟออกมา น้อยกว่า ปริมาณน้ำที่ใช้กับ กาแฟ Espresso ซึ่งปริมาณน้ำที่น้อยกว่าเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละสูตรของร้านกาแฟครับ ส่วนมากจะเป็น กาแฟ 1 ส่วนต่อน้ำ 1 ส่วนตรง ๆ หากเป็น Espresso จะเป็น กาแฟ 1 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน โดยคร่าว ๆ
ในปริมาณน้ำที่น้อยกว่า ทำให้รสชาติที่ได้นั้นแตกต่างออกไป การสกัดที่ใช้เวลาสั้นกว่า ทำให้ได้กาแฟที่เข้มข้นกว่า รสชาติโดยรวมจึงหนักแน่นกว่า และได้ความหอมมันที่น่าหลงไหลมากกว่า และที่สำคัญก็คือ คุณได้ปริมาณคาเฟอีนที่น้อยกว่าเกือบครึ่ง เมื่อเทียบกับ Espresso Shot แบบแก้วต่อแก้ว
เมนูนี้นิยมสั่งในร้านกาแฟโดยชาวอิตาเลี่ยนที่ไม่มีเวลานั่งดื่มอย่างละเมียดแบบ 3 ยก แต่ยังอย่างได้ความหอม ความเข้ม ที่ติดในปากยาวนานเช่นเดียวกัน Ristretto ถือตัวเลือกนั้นนั่นเอง
Doppio
อีกหนึ่งเมนูไม้ตาย สำหรับคนที่ชอบความเข้มข้นสูง ๆ ได้รสชาติกาแฟแบบเต็ม ๆ เพราะเจ้าเมนู Doppio ก็คือกาแฟ Double Shot Espresso ครับ ความเข้มข้นแบบ Espresso แบบคูณ 2 จัดเต็มในถ้วยเดียวกับปริมาณกาแฟเข้ม ๆ ราว 60ml บอกเลยครับว่า เข้มจนตาตื่นด้วยปริมาณคาเฟอีนสูงถึง 140mg หรือเทียบเท่ากับ Red Bull ราว ๆ 4 กระป๋องนิด ๆ กันไปเลย
สาย Doppio ถือเป็นสายแข็งของผู้รักกาแฟชาวอิตาลีครับ น้อยคนมาก ๆ ที่นิยมสั่ง Doppio ในร้าน BAR เพราะด้วยปริมาณความเข้มข้นที่สูงมาก ทำให้การทานอาจไม่ละมุนจนทานไม่หมดแก้วก็เป็นได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคอกาแฟสุดแกร่ง นี่คืออีกหนึ่งเมนูที่ “ต้องลอง” สักครั้ง
Lungo
Lungo ในภาษาอิตาลี แปลว่า “ยาว” ซึ่งถูกนำมาเปรียบกับการชงกาแฟลักษณะนี้เนื่องจากการใช้ปริมาณน้ำที่มากกว่า ชงยาวนานกว่า นั่นเอง หากให้ไล่เรียงตามลำดับของปริมาณน้ำที่ใช้ในการสกัดกาแฟแล้วนั้น จะเริ่มจาก Ristretto > Espresso > Lungo กล่าวคือ Ristretto ใช้น้ำกึ่งหนึ่งของปริมาณที่ใช้ใน Espresso ส่วน Lungo จะใช้ปริมาณน้ำคูณ 2 จาก Espresso แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ การเพิ่มน้ำนั้น ไม่ใช่เพิ่มน้ำร้อนแบบ Americano นะ แต่มันคือการสกัดเพิ่มอีกรอบหนึ่งในตัวกาแฟเดิมนั่นเอง
Lungo เหมาะกับคนที่ชื่นชอบรสชาติแบบติดเปรี้ยวเป็นหลัก เพราะปลายของการสกัดกาแฟส่วนใหญ่ จะมีรสชาติติดเปรี้ยวครับ นอกเหนือจากนั้นแล้ว คุณยังได้ปริมาณคาเฟอีนที่มากขึ้นกว่า Espresso Shot แต่ไม่ถึงขนาด Doppio และความเข้มข้นก็น้อยกว่าด้วยเช่นเดียวกัน
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็น Ristretto / Espresso / Doppio / Lungo นั้น เป็นเมนูกาแฟแบบ Black Coffee เป็นหลักครับ ไม่มีส่วนผสมของนมมาเจือปน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น Authetic Coffee ในแบบฉบับชาวอิตาลีแท้ ๆ ซึ่ง MenDetails ขอแนะนำให้ทุกท่านลองสั่งดู เมื่อมีโอกาสกลับไปเยี่ยมเยือนอิตาลีอีกครั้ง หรือจะลองสั่งกับร้านในไทยที่เป็น Specialty ดูก็ได้นะครับ เผื่อจะได้รสชาติที่แปลกไปจากเมนูเดิมที่สั่งอยู่ทุกวัน