ตลาดรถยนต์ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicles (EV Car) เข้ามาเพิ่มในส่วนแบ่งการตลาดบ้างแล้วครับ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การดึงพลังงานมาใช้เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ก็ค่อย ๆ เปลี่ยน เรียกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อย่างเดียวนั้นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนยุคใหม่ สำหรับ EV Car ที่ MenDetails จะมารีวิวในวันนี้ คือ ORA Good Cat รถไฟฟ้า 100% สัญชาติจีนที่ได้รับนิยมในโลกโซเชียลสูงมากตั้งแต่เผยโฉมรถเต็มคัน แม้จะยังไม่ได้ประกาศราคาขายก็มียอดจองพุ่งสูงกว่า 4,296 คัน ไปดูกันดีกว่าครับว่าเจ้าแมวคันนี้มีสมรรถนะการขับขี่เป็นอย่างไร โดดเด่นด้านไหน มีอะไรต้องปรับและพิจารณาก่อนซื้อบ้าง
ORA Good Cat มากับดีไซน์ภายนอกและภายในสุดคลาสสิก
แบรนด์รถยนต์ ORA มากับคอนเซปต์ที่ว่าผลิตภัณฑ์ถือเป็น Mobility Gadget ไอเท็มที่มากกว่าพาหนะขับขี่ เมื่อทราบเช่นนั้นเราก็ยิ่งสนใจครับว่าคุณภาพของรถจะเป็นเช่นไร ทำได้ตามที่เคลมไว้หรือไม่ สำหรับเจ้าเหมียว Good Cat ก็เป็นรุ่นแรกที่นำเข้าไทย ดีไซน์ Retro สุดคลาสสิกที่ชวนนึกถึงรถสปอร์ตอย่าง Porsche ทำให้ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีในโซเชียล ซึ่งไม่แปลกที่ Exterior ชวนให้นึกถึง เนื่องจากคนออกแบบรถยนต์คันนี้เคยทำงานให้กับแบรนด์รถหรูเยอรมันมาก่อน
โดย Good Cat มีทั้งหมด 7 สีด้วยกันเพิ่มตัวเลือกของสีรถยนต์ตามรุ่นครับ 400 TECH เริ่มต้นด้วยสีเบสิค ขาว Hamilton White และดำ Sun Black, 400 PRO เพิ่มสีแดงหลังคาดำ สีขาวหลังคาดำ (ชื่อเล่นว่าแพนด้า) รวมถึงสีสุดฮิตอย่างสีฟ้า Coral Blue และ 500 ULTRA เพิ่มสีเขียว Verdant Green หลังคาขาว และเบจหลังคาน้ำตาลเข้ามา ในรุ่นตัวท็อปก็จะมีสีเขียว Verdant Green นี่แหละครับที่ได้รับความนิยมที่สุด
เจ้าเหมียวรุ่นนี้เป็นรถ Hatchback 5 ประตูที่มีจุดเด่นอยู่ตรงฝาไฟหน้าทรง Cat eyes ทำให้ตัวรถดูน่ารักขึ้นมา กระจังหน้าทั้งฝากระโปรงหน้าและเส้นสายตัวถังช่วยตอกย้ำสไตล์เรโทรขึ้นอีกระดับ ส่วนเรื่อง Interior ภายใน เรื่องเบาะและคอนโซลจะเป็นสีดำทั้งหมด ยกเว้นคันสีเขียวและเบจที่ภายในจะเป็นสีทูโทน ใครที่ต้องการยกระดับความหรูหรา หรือชอบกลิ่นอายของรถสัญชาติยุโรปก็เชียร์ให้ไปเลือกตัวท็อปครับ
ในส่วนของคอนโซลหน้า จะมีหน้าตาที่ไม่คุ้นเคยตรงส่วนช่วงเกียร์ ปรับจากเกียร์มือเป็นเกียร์ไฟฟ้าแบบหมุน (Electronic Shifter) ตอนแรกที่ลองขับก็ต้องปรับตัวกันนิดหน่อย แต่พอชินแล้วรู้สึกว่าการมีพื้นที่ตรงกลางเยอะขึ้น ประกอบกับดีไซน์ของแอร์ที่เป็นแอร์ทรงยาวทำให้ได้รู้สึกถึงความเท่และหรูหราที่เพิ่มมากขึ้นจริง ๆ
ห้องโดยสารภายในทำให้รู้สึกประทับใจกว่าที่คิด เพราะทรงภายนอกทำให้ดุเหมือนภายในรถจะแคบ แต่จริง ๆ Head room รวมถึง Leg room ค่อนข้างกว้าง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคนขับและผู้โดยสารก็ถือว่านั่งได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดครับ ยกเว้นหากคุณจะมีส่วนสูงสัก 178 cm ขึ้นไปก็มีโอกาสที่จะนั่งแล้วขาชนเบาะคนขับข้างหน้าได้บ้าง
เทคโนโลยีซัพพอร์ตเยอะ
ระบบรักษาความปลอดภัยดีที่ใส่มาตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น
มาดูเรื่องเทคโนโลยีระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมถึงเรื่องความปลอดภัยที่มากับ ORA Good Cat กันบ้าง รุ่น 500 ULTRA เบาะคนขับจะเป็นเบาะนั่งไฟฟ้าที่มีความสามารถจดจำตำแหน่งที่นั่งได้ เมื่อก้าวเข้าไปนั่งแล้วเก้าอี้จะเคลื่อนตัวเข้าล็อกที่ปรับเอาไว้เพื่อขับขี่ได้เอง สะดวกมาก ๆ ครับ แล้วยังมีระบบนวดไฟฟ้าในตัวเบาะด้วย ใครที่เมื่อยล้าขณะขับขี่ก็มีฟังก์ชันนี้ที่ดูน่าสนใจ
มีระบบ Wireless Charger ที่ทดลองการใช้งานแล้วก็ชาร์จเข้าสมาร์ทโฟนได้จริง ไม่ติดปัญหาอะไร รวมถึงระบบการแจ้งเตือนต่าง ๆ ที่ทำงานได้ฉลาด การแจ้งเตือนต่าง ๆ จะโชว์บน Interactive Double Screen ที่เป็นจอยาว ตอนทดลองขับบนถนน เมื่อขับทับเส้นนิดเดียวระบบของรถก็แจ้งเตือนขึ้นมาทันที เรียกว่าช่วยรักษารถให้อยู่ในเลนได้ไม่ไม่พลาดเลยทีเดียว
สำหรับระบบที่ทีมงาน MenDetails สนใจมากจะมีสองระบบ คือ ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ (Integration Auto Parking) ซึ่งจะมีในรุ่น 400 PRO ขึ้นไป สามารถสั่งการใช้งานได้ด้วยการกดปุ่มบนพวงมาลัย และเลือกผ่านหน้าจอว่าต้องการจอดแบบแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวเฉียง จากนั้นรถก็จะทำการควบคุมพวงมาลัยรวมถึงเคลื่อนตัวจอดเองโดยอัตโนมัติครับ
อีกระบบหนึ่ง คือ ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) โดยระบบนี้ทาง ORA บอกว่ามีในรถยนต์เป็นครั้งแรก เมื่อเปิดการใช้งาน ระบบรถจะทำการตรวจสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่และหาพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับแซง เพื่อจะได้เลี่ยงการปะทะหรืออยู่ใกล้รถใหญ่มากจนเกินไปครับ
รถมีระบบสั่งการด้วยเสียง เช่น เปิด-ปิด Sunroof สามารถพูดได้เลย
อีกประการหนึ่งที่เรามองว่าเป็นข้อดี แต่จริง ๆ ก็สามารถเป็นข้อเสียต่อคนอื่นได้ คือ เครื่องยนต์ทำงานเงียบมาก ระหว่างขับขี่รู้สึกว่าแทบไม่มีเสียงรบกวนเลย ในฐานะที่เป็นผู้โดยสารในรถย่อมชอบความเงียบสงบ แต่หากเอารถไปลงถนนร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นที่โล่งหรือที่ชุมชนใด ๆ การปล่อยให้รถยนต์มีเสียงนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นครับ โดยสามารถปรับแหล่งกำเนิดเสียงได้ 3 แบบ ให้เจ้าเหมียวมีเสียงเครื่องยนต์ออกมาบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้รถหรือยานพาหนะอื่น ๆ ไม่เข้ามาใกล้ในระยะการขับขี่ของเรานั่นเอง
การปรับโหมดที่มีมาใน Performance รวมถึงปรับน้ำหนักพวงมาลัย
มาถึงเรื่องสมรรถนะในการขับขี่ที่หลาย ๆ คนน่าจะสนใจมากที่สุด โหมดการขับขี่ปรับได้ 5 รูปแบบครับ โดย 4 รูปแบบจะปรับได้เลยด้วยการกดปุ่มปรับด้านข้างพวงมาลัย ประกอบด้วยโหมด Standard, Auto, Sport และ ECO ส่วนโหมดสุดท้าย คือ ECO+ ต้องไปตั้งค่าผ่านจอสกรีนตรงคอนโซลหน้าเองครับ
สำหรับประสบการณ์การขับขี่ที่ทีมงาน MenDetails ได้ลองขับมานั้น คงต้องบอกว่าเราสนุกกับโหมด Sport มากที่สุดครับ ด้วยความที่รถยนต์เป็นรถไฟฟ้า ไม่จำเป็นต้องรอรอบเครื่องยนต์ ฉะนั้นเมื่อเหยียบคันเร่งแล้วความเร็วจะมาทันที เมื่อเหยียบในโหมด Sport รถตอบสนองไวมากครับ แต่ที่เราชอบคือเหยียบแล้วรถไม่พุ่งจนหัวทิ่ม ยังคงมีบาลานซ์ที่ดีอยู่ ขับได้สนุก ไม่รู้สึกปวดหัวและไม่รู้สึกว่าควบคุมยากจนเกินไป โดยบาลานซ์ของรถที่ดีนั้นเรามาทราบทีหลังว่าเกิดจากการวางแบตเตอรี่อยู่ด้านล่าง เมื่อศูนย์ถ่วงต่ำจึงทำให้การกระจายน้ำหนักของรถเป็นได้ด้วยดีนั่นเอง
แต่ขณะที่ทดลองขับ Standard กับ Auto ไม่ค่อยรู้สึกถึงความแตกต่างกันเท่าไหร่ครับ มาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนโหมดอีกครั้งตอนเป็น ECO คือรถจะเหมือนมีความหน่วงอยู่ตลอด กดคันเร่งไปสักพัก แค่แปบเดียวก็จะถูกลดความเร็วลง ถ้าขับช่วงรถติดมาก ๆ ในเมืองก็แนะนำปรับใช้โหมดนี้ได้เลยครับ
นอกจากการปรับโหมดการขับขี่แล้ว จุดที่ดีอยู่ตรงสามารถปรับโหมดพวงมาลัยเพาเวอร์ได้ด้วย ซึ่งปรับได้ 3 ระดับ คือ เบา, สบาย และสปอร์ต การปรับโหมดพวงมาลัยนี้มีเพื่อปรับความหน่วงและน้ำหนักของพวงมาลัยครับ ถ้าขับในโหมดพวงมาลัยเบา แตะนิดเดียว รถก็ขยับไปยังทิศนั้น ๆ แล้วครับ ฉะนั้นต้องเลือกโหมดพวงมาลัยให้เหมาะกับหมวดการขับขี่ด้วย ถ้าขับขี่อยู่โหมดสปอร์ตก็ควรขับด้วยพวงมาลัยสปอร์ต จะได้มีน้ำหนักอยู่ที่มือ พวงมาลัยไม่เบาจนไหลง่ายเกินไป
จุดเด่น จุดด้อยโดยรวมของ ORA Good Cat ในมุมมอง MenDetails
การจะลงทุนซื้อรถหรือเปลี่ยนรถสักคัน หลาย ๆ คนคงมี Concern ไม่น้อย ยิ่งถ้าปกติขับรถยนต์น้ำมันมาก่อนยิ่งเปลี่ยนยากครับ ฉะนั้นมาลองดูเรื่องความคุ้มค่าและคงทนกันหน่อย เริ่มจากเรื่องพลังของรถกันก่อน รุ่น 400 กับ 500 นั้นเป็นการบอกระยะทางต่อรอบการชาร์จ 1 ครั้งของรถ รุ่น 400 ขับได้ประมาณ 400 กิโลเมตรต่อหนึ่งรอบชาร์จ ในขณะที่รุ่น 500 ขับได้ประมาณ 500 กิโลเมตรต่อหนึ่งรอบการชาร์จ ถ้าขับอยู่ในเมือง ประมาณ 2 วันค่อยชาร์จ 1 ครั้งก็เพียงพอครับ
แต่ระยะทางที่กล่าวไปนั้น เป็นระยะทางจากที่แบรนด์ทำการทดสอบและประเมินมาเท่านั้น เมื่อเรานำไปขับจริงแล้วย่อมกินแบตเตอรี่ไม่เท่ากับที่โฆษณา เนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งการสัมผัสจอว่าบ่อยแค่ไหน ใช้เทคโนโลยีภายในมากน้อยอย่างไร ขับขี่ด้วยโหมดไหน ทุกอย่างส่งผลต่อแบตเตอรี่ที่ชาร์จเข้าไปได้ทั้งสิ้น
ส่วนเรื่องชาร์จไฟฟ้าที่ไหน? เราสามารถนำรถไปชาร์จที่สถานีชาร์จไฟก็ได้ หรือจะชาร์จเองที่บ้านก็ได้ครับ โดยความแตกต่างกันอยู่ที่เรื่องของเวลา ถ้าชาร์จไฟบ้านด้วยกระแสไฟสลับ (AC) ใช้เวลาราว 8 ชั่วโมงถึงจะเต็ม แต่ถ้าเอาไปสถานีชาร์จที่เป็นกระแสไฟตรง (DC) ก็จะเต็มไวกว่า ในเปอร์เซ็น 0-80 % แรก จะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงครับ แล้วหลังจากนั้นก็จะใช้เวลานาน
แนะนำให้ไปชาร์จต่อจนเต็ม 100% ที่บ้านแทนครับ แต่การชาร์จสถานีก็ต้องเสียเงินนะครับ ไม่ใช่ชาร์จฟรี หากเป็นรุ่น 400 ก็จะใช้ค่าใช้จ่ายราว 300.- ต่อครั้ง ซึ่งใครที่ไม่สะดวกไปหาสถานีชาร์จก็สามารถชาร์จที่บ้านทิ้งไว้ตอนดึกได้เลยเช่นกัน ส่วนในเรื่องค่าใช้จ่าย หากจองรถยนต์เป็นลูกค้าล็อตแรก ๆ GWM มีการแถมฟรีติดตั้ง Home Charger ด้วยครับ ในรายละเอียดส่วนนี้ระยะยาวอาจมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องคอยติดต่อกันไป
สำหรับใครที่สงสัยว่ารถยนต์ไฟฟ้าโดนน้ำท่วมแล้วเป็นอย่างไร รถจะพังไหม? ในส่วนของแบตเตอรี่รถรุ่นนี้ มีการทดสอบโดยเอาน้ำมายิงในทุกองศาแล้ว โดนน้ำร้อนก็ไม่พังครับ และหากต้องลุยน้ำจริง ๆ แบรนด์บอกว่ารถก็สู้ไหวถึง 40 cm แต่ปัญหา คือ ต่อให้แบตเตอรี่รถยนต์ไม่พัง หากเจอน้ำท่วมหรือน้ำสูงเกินครึ่งรถยนต์จริง ๆ ภายในรถก็พังได้อยู่ดีนั่นล่ะครับ
สำหรับทีมงาน MenDetails ที่ได้ทดลองขับเจ้าเหมียว Good Cat คันนี้ คงต้องบอกว่าประทับใจในเรื่องระบบที่ช่วยซัพพอร์ตกับการขับขี่ รวมถึงดีไซน์ที่ดูสะดุดตาทั้งภายนอกภายในจริง ๆ ครับ แต่ก็มีหลายจุดที่ต้องระวังอย่างการไม่มีที่ปัดน้ำฝนหลัง ระบบ Touch Screen วันที่เราทดลองนั้นทำงานไม่ค่อยสมูทเท่าไหร่ และเรื่องของราคาการชาร์จด้วยไฟฟ้าว่าเมื่อเทียบระยะยาวต่อปีแล้วจะคุ้มกว่าน้ำมันมากขนาดไหน สุดท้ายเรื่องราคาที่ทุกคนรอคอยกันก็เปิดตัวที่ รุ่น 400 TECH 989,000.- / 400 PRO 1,059,000.- และ 500 ULTRA 1,199,000.- ครับ ต่ำล้านเล็กน้อย จะเป็นอีกตัวที่ได้เห็นตามท้องถนนมากขึ้นไหมต้องมารอดูกัน