รายละเอียดสำคัญอีกหนึ่งสิ่ง ที่คุณมักให้ความสำคัญเวลาเลือกซื้อรถยนต์ก็คือ อัตราการประหยัดน้ำมัน หรืออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันซึ่งคิดเป็นจำนวนระยะทางต่อน้ำมัน 1 ลิตร เนื่องจากน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ปัจจัยดังกล่าวมีความสำคัญมากขึ้นตามไปด้วย จนทำให้หลาย ๆ คน เลือกที่จะเปลี่ยนมาใช้ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถ EV ที่วางขายอยู่ในท้องตลาด แต่คุณทราบหรือไม่ครับว่า รถไฟฟ้าเองก็มีการคำนวนอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานด้วยเช่นเดียวกัน วันนี้ MenDetails จะมาอธิบายฉบับพอสังเขป ให้ทุกท่านได้รู้จักแบบไม่ยาก ว่าแล้วก็ค่อย ๆ เลื่อนตามลงมาด้านล่างได้เลยครับ
Kilometers per kWh
สมัยก่อน เรามักวัดความประหยัดจากอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานอย่าง “น้ำมัน” โดยอ้างอิงจากน้ำมันปริมาณ 1 ลิตร สามารถวิ่งได้ไกลแค่ไหน แต่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั้น จะถูกเปลี่ยนตัววัดการประหยัดพลังงานเป็น Kilometers per kWh หรือ ระยะทางเป็นกิโลเมตรต่อการใช้พลังงานไฟฟ้า 1 kWh โดยคุณสามารถคำนวนง่าย ๆ จากจำนวนระยะทางที่แต่ละค่ายรถยนต์กล่าวอ้างไว้ว่า สามารถวิ่งได้ไกลสุงกี่กิโลเมตร แล้วนำมาเทียบกับขนาดของแบตเตอรี่ตัวรถ ยกตัวอย่างเช่น BYD Atto 3 รุ่น Standard Range กับความจุแบตเตอรี่ที่ 49.92 kWh กับระยะทางสูงสุดที่สามารถทำได้ที่ 410 กิโลเมตร นั่นหมายความว่า ตัวเลข Kilometers per kWh จะอยู่ที่ราว ๆ 5.2 ซึ่งถือว่าสูงพอสมควรเลยครับ (แต่อัตราการสิ้นเปลืองเมื่อใช้งานจริงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน)
โดยปกติแล้ว อัตราการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าต่อกิโลเมตรที่เรียกว่าประหยัดและคุ้มค่า มักอยู่ราว ๆ 6 Kilometers per kWh ครับ ส่วนระดับปานกลางจะอยู่ราว ๆ 4.8 Kilometers per kWh เท่านี้ คุณก็พอมีตัวเลขคร่าว ๆ ในหัวเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าสักหน่อย ก่อนการตัดสินเลือกซื้อละครับ
แต่ที่เคยเห็น จะเป็น Wh per Kilometers
ใช่ครับ หลาย ๆ ค่ายรถยนต์ อาจไม่ได้บอกเป็นตัวเลขอย่าง Kilometers per kWh ซึ่งทีมงาน MenDetails เองก็ไม่มั่นใจว่าเพราะเหตุใดกันแน่ แต่จะเปลี่ยนเป็นตัวเลขอย่าง Wh per Kilometers แทน และจะยิ่งทำให้งงมากขึ้นไปอีก กับการบอกเป็นตัวเลข Wh per Miles (ซึ่งคุณต้องไปแปลงต่ออีกรอบหนึ่ง) ยกตัวอย่างเช่น 200Wh per km ก็ให้เอาตัวเลข 1,000 ตั้ง แล้วหารด้วยจำนวน Wh ที่ทางแบรนด์แจ้ง ก็จะได้จำนวน Kilometers per kWh ละครับ อย่างตัวอย่างที่ยกไว้คือ 200Wh per km เท่ากับ 5 Kilometers per kWh นั่นเอง
ค่าดังกล่าว มีผลอย่างไรต่อการใช้งาน
จำนวนอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานอย่าง Kilometers per kWh นั่น มีผลต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็นคนขับรถยนต์ตลอดทั้งปีอยู่ราว ๆ 10,000 กิโลเมตร (ซึ่งถือว่าไม่มาก) คุณเลือกใช้ รถไฟฟ้า หรือ รถ EV ที่อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 5 Kilometers per kWh หรือ 5 กิโลเมตรต่อไฟฟ้า 1 หน่วย แปลว่าใน 1 ปี คุณจะใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 2,000 หน่วย และถ้าราคาค่าไฟต่อหน่วยอยู่ที่ 4.2 บาท / หน่วย ก็เท่ากับคุณจะต้องเสียเงินค่าไฟฟ้าทั้งหมด 8,400 บาทต่อปี (ซึ่งถือเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปภายใน) แต่ถ้าตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองลดลง ก็จะทำให้ค่าไฟฟ้าที่คุณจะต้องจ่ายเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งตกลงไปเหลือราว 3.5 Kilometers per kWh ก็จะทำให้คุณจ่ายค่าไฟฟ้าทั้งหมด 12,000 บาทต่อปี (ก็ยังถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับค่าน้ำมัน ณ ปัจจุบัน)
แล้วรถคันไหนที่ประหยัดพลังงานมากที่สุด?
สำหรับรถยนต์ที่มีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานยอดเยี่ยมที่สุด / ประหยัดพลังงานมากที่สุด 5 อันดับแรกของโลกใบนี้ เป็นรถยนต์จากค่าย Hyundai ไปแล้ว 2 คันครับ ว่าแล้วก็มาดูกันเลยดีกว่าว่า รถคันไหนประหยัดพลังงานมากที่สุดในฟากฝั่งรถยนต์ไฟฟ้า
- Hyundai IONIQ 6 Standard Range 2WD กับอัตราการประหยัดพลังงานที่ 150Wh per km หรือราว ๆ 6.7 Kilometers per kWh ซึ่งถือว่าสูงที่สุด ณ ปัจจุบัน
- Tesla Model 3 กับตัวเลข 151Wh per km เรียกว่าเกาะไหล่มาแบบติด ๆ ห่างกันนิดเดียวเท่านั้นครับ
- Dacia Spring Electric 45 กับตัวเลขที่ขยับขึ้นอีกนิดที่ 152Wh per km
- Tesla Model 3 Long Range Dual Motor กับอัตราการประหยัดพลังงานที่ 155Wh per km
- Hyundai IONIQ 6 Long Range 2WD กับตัวเลข 156Wh per km เท่านั้น
ด้วยระยะเวลาในการพัฒนาเพียง 10+ ปีที่ผ่านมา จากตัวเลขราว 1-2 Kilometers per kWh สู่ตัวเลขที่มากถึง 6.7 Kilometers per kWh ณ ปัจจุบัน MenDetails เชื่อว่า อัตราการสิ้นเปลืองจะยิ่งลดต่ำลงเรื่อย ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะช่วยให้คุณ มีข้อมูลเบื้องต้นที่ครอบคลุมเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย เพื่อการเลือกลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด กับรถยนต์ไฟฟ้าคันต่อไปนะครับ