ในยุคที่แบรนด์รองเท้าต่างแข่งขันกันเรื่องเทคโนโลยี ผลดีจึงตกอยู่กับผู้บริโภคอย่างพวกเราครับ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มีแบรนด์รองเท้าคุณภาพสูงมาให้เราเลือกซื้อกันอย่างสนุกมือ เหมือนอย่างรองเท้าคู่นี้ Under Armour HOVR™ Sonic 2 ที่จับเอาเทคโนโลยีสุดยอดของแบรนด์ Under Armour มาไว้อยู่ในคู่เดียว แถมหน้าตาก็ไม่ได้ดูแย่แต่อย่างใด มาดูกันดีกว่าครับว่า คู่นี้ดีไม่ดี ในราคา 4,790.-
Upper ประกอบกันระหว่าง Microthread และ Mesh
เพื่อความยืดหยุ่นที่ไม่เป็น 2 รองใคร Under Armour เลือกใส่ผ้า Knit ที่มีชื่อเฉพาะว่า Microthread มาประมาณ 3 ส่วน 4 ของชิ้น Upper ทั้งหมด ซึ่งข้อดีก็คือ “คุณไม่ต้อง Break-in ให้เสียเวลา” หยิบออกมาใส่ได้เลย (คล้ายกับแบรนด์อื่นๆ ที่เลือกใช้ผ้า Knit) ให้ความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้การระบายอากาศได้ดี ถึงแม้จะไม่มากเหมือนผ้า Knit แบบอื่นๆ ในท้องตลาด
ข้อดีของรุ่นที่ 2 นี้คือ ลิ้นรองเท้ามีการบุ Support ที่หนาขึ้น รวมถึงช่วงส้นเท้าคือทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว มี TPU Heel Counter กันส้นเท้าเคลื่อนออกจากตำแหน่ง ซึ่งถ้าคุณนำมาใส่แนว Lifestyle ถือว่าเป็น Function ดีๆ ที่ทางแบรนด์ใส่มาให้ อีกจุดที่เราชอบคือ ช่วงส้นเท้า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ทรงนั้นโค้งออก แต่ใส่แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือแทงช่วงเอ็นร้อยหวายแต่อย่างใด
แต่เรายังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันนะครับว่า ทำไมแบรนด์ถึงไม่เลือกผลิตเป็นผ้า Knit Upper ทั้งหมด ซึ่งถ้าทำได้ น่าจะใส่สบายเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
HOVR™ Midsole
-ตัว HOVR™ จะอยู่ในช่องสีเหลี่ยมๆ ที่เจาะไว้-
ถือเป็น Highlight เด่นของรองเท้าก็ว่าได้กับพื้น HOVR™ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีเจ๋งๆ ระดับเทพจากแบรนด์ Under Armour ครับ โดย HOVR™ จะทำให้คุณรู้สึกราวกับโลกใบนี้ ไร้แรงโน้มถ่วง “Zero Gravity Feel” ซึ่งความจริงแล้วเนี่ย คงไม่มีใครรู้สึกถึงประสบการณ์ไร้แรงโน้มถ่วง ถ้าไม่ขึ้นไปยังอวกาศจริงมั้ยครับ แต่เราบอกได้เลยว่าเจ้าพื้น HOVR™ เนี่ย ถือเป็น Midsole ที่นิ่มมากทีเดียว อาจไม่นิ่มถึงขนาดตาลุกวาวเมื่อได้ใส่ แต่สัมผัสจะประมาณว่า “คุณกล้าที่จะเดินหรือวิ่งบนรองเท้าคู่นี้ได้สบายๆ”
จริงๆ แล้ว HOVR™ นั้นคือชิ้น Foam สีดำที่ถูกห่อด้วย Energy Web อีกชั้นหนึ่ง หน้าที่คือเก็บกักพลังงาน แล้วปล่อยออกมาเหมือนสปริงเวลาดีดตัวออก ทำให้คุณใช้พลังงานน้อยลงในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้านั่นเอง
ส่วนที่เราชอบของพื้น Midsole ก็คือช่วง Arch Support ที่ดูจะสูงกว่ารองเท้าวิ่งทั่วๆ ไปอยู่บ้าง ทำให้การใส่เดินนั้น ง่ายและสบายมากขึ้นนั่นเอง เหมือนเป็นจุดเล็กๆ ที่ใครหลายๆ คนอาจมองข้ามไป และแถมด้วย Insole จาก Ortholite® ที่ช่วยเรื่องกลิ่นได้เป็นอย่างดี (ถอดได้ด้วย ไม่เหมือนรุ่นแรกๆ)
Outsole ระดับเทพ หนา อึด ถึก
อันนี้แหละคือจุดแข็งระดับเทพจากรองเท้าคู่นี้เลยคือ พื้น Outsole ที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยม Traction ดี เดินหลากหลายพื้นผิว ไม่ว่าจะแห้งหรือเปียกก็มั่นใจ แถมทำออกมาหนาแบบสุดๆ และดูท่าทางน่าจะสึกยากมากทีเดียว แถมแยกประเภทของพื้นชิ้นหน้ากับชิ้นหลังด้วยนะครับ ช่วง Forefoot จะเป็นแบบ Blown Rubber ซึ่งทำให้น้ำหนักเบา ตอบสนองได้การเคลื่อนไหวได้อย่างดี และส่วนส้นเท้าเป็น High-Abrasion Rubber ที่ช่วยซับแรงกระแทกได้อีกชั้นหนึ่งก่อนชั้น Midsole ถึงบอกไงครับว่า Outsole เนี่ย “ไม่ธรรมดา”
สุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับความชอบเป็นหลักแล้วหล่ะครับ
เพราะคู่นี้มีคุณสมบัติอันครบถ้วนที่รองเท้าคุณภาพสักคู่พึงมี และถึงแม้ว่าจะไม่ได้นิ่มแบบสุดๆ หรือระบายอากาศยอดเยี่ยม แต่รองเท้าคู่นี้ก็ถือเป็นรองเท้าที่น่าสนใจมากๆ ที่มาพร้อมหน้าตาอันดูดี มีสไตล์ ดังนั้นคำถามเดียวที่คุณควรถามตัวเองเลยก็คือ “คุณพร้อมไปลองและเปิดใจสักครั้งมั้ย” เพราะไม่แน่ รองเท้าคู่นี้อาจจะถูกใจคุณก็เป็นได้
ส่วนตัวเรา ถ้า Upper เป็นผ้า Knit ที่ออกแบบมาลงตัว และสีของพื้น Midsole ที่อาจไม่ค่อยเข้าตากรรมการในระยะยาวสักเท่าไร สุดท้ายคือตัวรองเท้าใส่ยากสักหน่อยเลยอยากให้มี Pull-Tab มาให้สักนิด นอกเหนือจากนั้นแล้ว รองเท้าคู่นี้ถือว่ามีดีในรูปแบบของตัวมันเอง ที่เราอยากให้คุณไปลองใส่ดูครับ
หากสนใจ แนะนำให้ไปลองใส่ดูได้ที่ร้าน Under Armour ทุกสาขา สนนราคาคู่ละ 4,790.- ซึ่งแถมตัว UA’s Record Sensor™ ที่เก็บรายละเอียดของเราในทุกการออกกำลังกายไว้ใน Application Under Armour Record โดยจะเชื่อมต่อกับ Bluetooth บนเครื่อง (แต่ถ้าคุณมีนาฬิกา Fitness Tracker อยู่แล้วก็อาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้นก็ได้)