ถึงแม้ว่า adidas จะมีนวัตกรรมพื้น Midsole ที่เปลี่ยนโลกของวงการ Sneakers ไปตลอดกาลอย่าง Boost Technology แต่นั่นก็ไม่ใช่นวัตกรรมที่ล้ำหน้าที่สุดของแบรนด์ เนื่องจาก adidas เองมีการพัฒนาโครงสร้างสุดล้ำด้วยการใช้แสง UV และ Oxygen ผ่านของเหลวแล้วขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ โดยตัวแบรนด์ให้ชื่อว่า 4D ซึ่งเราเคยพูดถึงไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ (อ่านได้ที่นี่) วันนี้เรามีโอกาสหยิบมาให้ดูกันสักทีครับกับ adidas AlphaEdge 4D
Upper Primeknit ใส่ง่าย
หากคุณยังไม่เคยได้ลองใส่รองเท้า adidas ที่ใช้วัสดุ Upper ที่ผลิตจาก Primeknit เลยสักครั้งเดียว เราคิดว่า คุณน่าจะพลาดสิ่งที่สบายที่สุดอย่างหนึ่งของวงการรองเท้า Sneakers เลยก็ว่าได้ เนื่องจากการขึ้นโครงสร้าง Upper ด้วยผ้า Knit ชั้นเดียวนั้น ทำให้คุณรู้สึกสบายมากกว่า Upper แบบหนังค่อนข้างมาก รวมไปถึงตัววัสดุเองนั้น สามารถออกแบบให้แนบติดกับเท้าเราได้ดี กระชับเท้า ใส่ง่ายกว่าวัสดุแบบอื่น
แต่สำหรับ AlphaEdge 4D นั้น ตัวผ้า Primeknit จะออกแบบมาคล้ายๆ กับ รุ่น NMD_R1 กล่าวคือ ไม่ได้มีโครงสร้างที่อุ้มเท้ามากมายอะไรนัก (ไม่เหมือน UltraBOOST 20) ทำให้ความรู้สึกที่ใส่ อาจไม่ค่อยมั่นคงสักเท่าไรเมื่อเทียบกันหมัดต่อหมัด แต่ในทางกลับกัน คุณก็จะได้ความ Clean และลวดลายจากการทอที่น่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง
Midsole 4D คือความล้ำที่อาจไม่เหมาะกับทุกคน
พื้น Midsole น่าจะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อรุ่นนี้กันอยู่ครับ โดยเราขอแบ่งออกเป็น 3 ข้อใหญ่ ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของทุกท่าน เนื่องจากตัวรองเท้านั้นราคาค่อนข้างสูง และเราเชื่อว่าในราคาเดียวกัน คุณอาจได้รองเท้ารุ่นอื่น ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในตลาด ณ ตอนนี้ก็เป็นได้ ว่าแล้วก็มาดูกันในแต่ละข้อเลยดีกว่าครับ
-1-
เรามาพูดถึงความสบายกันก่อน เนื่องจาก 4D คือวัสดุที่ขึ้นโครงสร้างด้วยการยิงจากเครื่องพิมพ์ 3D Printer ผ่านแสง UV และ Oxygen เข้ากับของเหลว โดยขึ้นเป็นโครงสร้างแบบตาข่าย ทำให้มีความยืดหยุ่นที่สูงกว่าปกติ แถมสามารถเลือกความถี่ห่างได้ตามต้องการ (ความถี่จะมีมาก ณ จุดที่ลงน้ำหนักเยอะเช่นส้นเท้าและหน้าเท้า) จากโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ตัวรองเท้านั้นนุ่มแต่ไม่ยวบ ใส่สบาย มีการกระจายแรงได้ดีด้วยโครงสร้างแบบตาข่าย แต่จะไม่รู้สึกว่านุ่มสุด ๆ อย่าง Boost Technology นะครับ แต่จะเป็นความสบายที่กำลังดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
-2-
ในขณะที่รองเท้าอย่าง UltaBOOST 20 นั้นมีน้ำหนักอยู่ราว ๆ 309 กรัม ส่วน AlphaEdge 4D จะมีน้ำหนักอยู่ราว ๆ 391 กรัม อาจดูตัวเลขไม่เยอะ แต่ความรู้สึกหลังได้ใส่ถือว่าต่างกันพอสมควรเลย ซึ่งน้ำหนักส่วนใหญ่นั้นตกอยู่ที่พื้น Midsole เป็นหลักครับ เนื่องจากส่วน Upper มีเพียง Primeknit และโครงสร้างเล็กน้อยเท่านั้น ส่งผลให้ความสมดุลของโครงสร้างดูขาด ๆ เกิน ๆ (Upper เบา แต่ Midsole หนัก) การใช้งานจึงเหมือนเราต้องออกแรงดึงรองเท้าขึ้นมากกว่านั่นเอง
-3-
การทำความสะอาดชั้น Midsole ซึ่งยังคงเป็นคำถามที่ตอบได้ยากมาก ๆ ครับว่า “เราจะทำความสะอาดรองเท้าคู่นี้ยังไงดี” หากสิ่งสกปรกวิ่งเข้าไปอยู่ด้านในของตัวโครงสร้าง ซึ่งนั่นอาจทำให้การรับแรงเปลี่ยนไปด้วยหากมีหินหรือเศษกิ่งไม้กระเด็นเข้าไปติดอยู่ข้างใน และถ้าฝุ่นเข้าไปหล่ะ? ลุยโคลน? น่าจะเป็นปัญหาพอสมควรนะครับ จุดนี้ถ้าคุณใช้รองเท้าแบบลุยหนัก ๆ อาจต้องคิดให้เยอะสักหน่อย
พื้นยาง Continental แต่ไม่มี Torsion System
พื้น Outsole ยังคงใช้ยางคุณภาพจาก Continental ซึ่งหนาพอสมควร น่าจะใส่ได้นานพอสมควร แต่ที่แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ เลยก็คือ ตัวพื้น 4D จะไม่มี Torsion System กันเท้าพลิกติดมาให้ อันเนื่องมาจากการสร้างพื้น Midsole นั้นออกแบบมาเพื่อกันเท้าพลิกอยู่แล้วตั้งแต่แรกนั่นเอง
เป็นรองเท้า Performance ที่เหมาะใส่เดินแบบ Lifestyle มากกว่า
adidas AlphaEdge 4D คือรองเท้าที่เราชาว MenDetails เห็นตรงกันว่า นี่คือรองเท้าสำหรับสาย Lifestyle มากกว่าจะใส่วิ่งแบบจริงจัง เหมาะกับการใส่เดินในเมืองหรือท่องเที่ยวต่างประเทศที่ไม่ลุยมากมายอะไร อาจเป็นเพราะโครงสร้าง 4D เองมีน้ำหนักที่มากกว่า Midsole แบบอื่น ๆ และปัญหาเรื่องการทำความสะอาดในระยะยาว แต่ไม่ได้แปลว่า 4D นั้นออกแบบมาแย่กว่าเทคโนโลยีอื่นนะครับ เรากลับคิดว่า “นี่แหละคืออนาคตของจริง” ถ้า adidas สามารถเลือกวัสดุที่เบากว่านี้ในการผลิตได้ในอนาคตอันใกล้