ในบรรดารายละเอียดรูปร่างสรีระของผู้ชาย สิ่งที่ดู “เบลอๆ” และไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่มากที่สุดก็คือ “เอว” นี่แหละครับ ลองนึกดูง่ายๆ ไหล่ของเรามันก็ชัดเจนว่าอยู่ตรงไหน สะโพกก็วัดได้ชัดเจนเช่นกัน หน้าอกก็ด้วย แต่พอมาถึง “เอว” เจ้านี่แหละตัวปัญหา และทำให้เราต้องนั่งนึกสงสัยว่า ถ้าหากจะวัด “เอว” ของเราแล้วนั้น ความจริงมันอยู่ตรงไหนกันแน่?
จะวัดเอว ควรวัดที่ตรงไหนดี?
ไม่เกี่ยวว่า “อ้วน” หรือ “ผอม”
อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงคิดในใจว่า ผู้ชายจะมีเอวได้ก็ต้องเป็นผู้ชายผอมเท่านั้น แล้วเอวจะโผล่มาเอง ถ้าอ้วนลงพุงเราก็คงหาเอวไม่เจออยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องนี้เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงนัก เพราะไม่ว่าจะอ้วนหรือจะผอม ช่วงเอวของเรามันก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นหรือหดเล็กลงเท่านั้นเอง
การรู้ระดับเอวของตัวเองมีประโยชน์อย่างไร
ระดับเอวธรรมชาติ หรือ Natural Waist มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกซื้อและเลือกใส่ “กางเกง” สำหรับผู้ชาย นั่นเพราะระดับเอวของกางเกงจะต้องสัมพันธ์กับความยาวของเป้ากางเกง (Rise) หากเราเลือกซื้อกางเกงที่มีเอวต่ำ ขนาดของเอวที่ต่ำลง หมายถึงความยาวของเป้ากางเกงที่ต้องสั้นลงด้วย การรู้ระดับของ “เอว” ของตัวเองจะช่วยป้องกันไม่ให้เราซื้อกางเกงที่เอวกับความยาวของเป้ากางเกงไม่สัมพันธ์กัน เช่น ซื้อกางเกงมาใส่แล้ว “รั้งเป้า” เกินไป หรือหลวมโคร่งบริเวณเป้ากางเกงมากไปนั่นเองครับ
ระดับของ “เอว” มีผลและมีความสัมพันธ์ต่อความยาวของเป้ากางเกงที่เราใส่ ซึ่งเป็นเรื่องผู้ชายควรใส่ใจ | realmenrealstyle.com
ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการรู้ระดับเอวธรรมชาติของตัวเองก็คือ การสามารถปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์แฟชั่นได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะนิยมกางเกงเอวสูง หรือชอบกางเกงเอวต่ำ หรือเทรนด์แฟชั่นเรื่องกางเกงจะเปลี่ยนไปอย่างไร การรู้ระดับเอวธรรมชาติจะช่วยให้ผู้ชายรู้ว่าควรใส่กางเกงในระดับเอวประมาณใดจึงจะเรียกว่าสูงหรือต่ำ และกางเกงตัวใดที่เอว “สูงเกินไป หรือ “ต่ำเกินไป” สำหรับเราอีกด้วยครับ
กางเกงที่ตัดเย็บอย่างดีและ “พอดีตัว” สามารถทำให้ผู้ชายดูดีได้ ไม่ว่าจะเอวสูงหรือมีจีบก็ไม่ทำให้ดู “แก่เกินไป” แต่อย่างใด
ทฤษฎี “หาเอว” แบบที่ 1 | ยืนตรงแล้วโค้งตัวไปข้างๆ
หลักการหาว่าเอวของผู้ชายเราอยู่ตรงไหนกันแน่นั้น วิธีการแรกที่เราจะนำมาพูดกันก็คือการยืนตัวตรงหน้ากระจก แล้วโค้งตัวไปด้านข้าง ด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นสังเกตดูที่กระจกให้ดีว่าช่วงลำตัวของเรามี “รอยพับ” ที่เกิดจากการโค้งตัวของเราอยู่ตรงจุดไหน นั่นแหละคือระดับ “เอวธรรมชาติ” หรือ Natural Waist ที่พ่อแม่ให้เรามาครับ วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ง่าย และเป็นอะไรที่เฉพาะตัว เพราะแต่ละคนก็มีรอยพับดังกล่าวในระดับที่ต่างกันเล็กๆน้อยๆ
แต่ทว่าวิธีการหาเอวแบบนี้มีข้อเสียก็คือมันใช้ได้ดีเฉพาะกับผู้ชายที่ “ไม่มีไขมันส่วนเกินเป็นห่วงยางด้านข้าง” เพราะถ้าเราเป็นผู้ชายเจ้าเนื้อ และมีห่วงยางนิ่มๆพอกอยู่ข้างลำตัว เราจะพบว่ารอยพับนี้จะถูกไขมันด้านข้างดันสูงขึ้นมาอยู่ประมาณใต้ราวนมโดยอัตโนมัติ ซึ่งสูงเกินไปและไม่ใช่ช่วงเอว Natural Waist ของเราแน่นอนครับ
ยืนตัวตรงแล้วลองเอียงตัวไปด้านข้าง ตรงจุดที่ลำตัวมีรอยพับ นั่นคือตำแหน่ง เอวธรรมชาติ ของเรา
ทฤษฎี “หาเอว” แบบที่ 2 | ใช้กางเกงตัวโปรดเป็นเกณฑ์
สำหรับคนที่ไม่ใส่ใจเรื่องรูปร่างตามธรรมชาติมักนิยมใช้วิธีนี้ นั่นก็คือไม่ต้องไปซีเรียสว่า Natural Waist ของเราอยู่ตรงไหน แค่หากางเกงที่เราชอบใส่ ดึงขึ้นให้พอดีตามขนาดกางเกง ถ้าเห็นเอวของกางเกงแตะถึงตรงไหน ตรงนั้นก็คือ “เอว” ของเรานั่นแหละ วิธีนี้ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ แต่ก็มีปัญหาที่สำคัญมากเช่นกัน นั่นก็คือ มันไม่มีมาตรฐานอะไรเลยที่จะบอกว่า “เอวจริง” ของเราอยู่จุดใดกันแน่ และที่สำคัญ กางเกงคือเครื่องแต่งกายที่มีแฟชั่นเข้ามาเกี่ยวข้องพอสมควร บางคนชอบกางเกงเอวต่ำ บางคนชอบกางเกงเอวสูง บางคนชอบกางเกงเอว “ปกติ” การใช้วิธีหาเอวแบบนี้ จึงเป็นวิธีที่ค่อนข้าง “เอาแต่ใจ” และละเลยสรีระธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเองไป โดยหวังพึ่ง “เทรนด์แฟชั่น” ของกางเกงตัวเองเป็นหลักมากกว่าครับ
กางเกงเอวต่ำเกินไปที่เราไม่ควรใช้เป็นมาตรฐานของ “เอวธรรมชาติ” ของเรา
ทฤษฎี “หาเอว” แบบที่ 3 | “สะดือ”
อีกสำนักคิดหนึ่งที่ใช้ในการหา “เอวของผู้ชาย” ก็คือ แนวคิดที่ให้ยึดเอา “ระดับสะดือของตัวเอง” เป็นหลัก แล้วยึดระดับนั้นเป็น Natural Waist ของตัวเองไปเลย วิธีนี้แก้ปัญหาสำหรับผู้ชายที่มีพุงได้พอสมควร เพราะยังไงๆสะดือมันก็อยู่ที่เดิม ไม่เคลื่อนระดับขึ้นๆลงๆอยู่แล้ว หากเราใส่กางเกงที่มีขอบเอวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าสะดือก็จะถือว่าเป็นกางเกงเอวต่ำ แต่ถ้าเราใส่กางเกงที่มีขอบกางเกงเท่าสะดือหรือสูงกว่า แปลว่าเรากำลังใส่กางเกงเอวสูง ง่ายๆเท่านี้นี่แหละครับ ทีนี้จะต่ำมากหรือต่ำน้อย หรือสูงมากหรือน้อยก็ต้องแล้วแต่ความชอบใจของแต่ละบุคคลแล้วครับ
กางเกงเอวสูงประมาณระดับสะดือพอดีๆ
Joaquin Phoenix กับกางเกงเอวสูงระดับประมาณสะดือ ในภาพยนตร์เรื่อง Her
บทสรุป
โดยส่วนตัว MenDetails เลือกใช้แนวทางการยึดระดับของสะดือของตัวเองเป็นหลัก นั่นเพราะเป็นระดับที่หาง่าย และเรามองว่าสมเหตุสมผลกับสัดส่วนและรูปร่างของตัวเองครับ อย่างไรก็ตามกางเกงแต่ละตัวย่อมจะมีระดับของเอวที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสไตล์และเทรนด์ของแฟชั่นว่ากำลังหมุนไปในทิศทางใด อย่างเช่นกางเกงยีนส์ซึ่งในอดีตนิยมเอวสูงแต่ปัจจุบันเรามักนิยมใส่เอวที่ต่ำกว่าสะดือมากๆ และมี rise หรือความยาวของเป้ากางเกงที่สั้นนิดเดียว เป็นต้น แต่ในยุคปัจจุบัน MenDetails เริ่มที่จะเห็นผู้ชายค่อยๆหันกลับมาใส่กางเกงเอวสูงกันมากขึ้น แม้จะยังไม่เป็นวงกว้างนัก แต่เรามองว่ากระแสการกลับมาของกางเกงเอวสูงที่ระดับสะดือ กำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆครับ
ลองศึกษาบทความนี้แล้วหาระดับเอวธรรมชาติ (Natural Waist) ของตัวเองให้เจอ เพื่อเตรียมปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนไปให้ได้อย่างราบรื่นนะครับ