รองเท้าทุกคู่ย่อมมีตำนาน และตำนานของ Sneaker ยี่ห้อหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ Converse / Nike / adidas เลยก็คือ Vans ที่พึ่งครบรอบ 50 ปีไปหมาดๆ แต่วันนี้ MDs’ จะหยิบเอาเฉพาะรุ่น Slip-On ที่ถือเป็นอีกรุ่น Iconic ของ Vans มาให้ดูกันปีต่อปี ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง จุดที่ทำให้โด่งดัง และทำไมคุณถึงควรซื้อเพื่อแสดงความ Iconic สไตล์ Vans เผื่อไว้ที่บ้าน มาเริ่มกันเลยครับ
-1977-
ถึงแม้ว่า Vans จะเปิดร้านเต็มตัวของตัวเองครั้งแรกเมื่อปี 1966 แต่รองเท้ารุ่น Slip-On นั้นไม่ได้ถูกผลิตขึ้น ณ เวลาที่ Vans เปิดร้านนะครับ รองเท้ารุ่นนี้ถูกปรับ Design โดยหยิบเอาการ Support ข้อเท้าในรุ่น Era แล้วนำมาตัดเชือกออก เพิ่มยางยืดเข้ามาเพื่อความสะดวกในการสวมใส่โดยให้รหัสว่า Vans #48 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากโรงงานผลิตรองเท้าที่คุณ Paul Van Doren เคยทำก่อนหน้านี้ที่ทำรองเท้าสำหรับการออกเรือนั่นเอง
หลังจาก Vans เปิดตัว Style #48 Classic Slip-On แล้ว ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่จุดที่ทำให้ Vans Classic Slip-On โด่งดังเป็น Iconic แบบพลุแตกยังไม่ใช่ในปีนี้ครับ
-Late 70s-
Vans ได้เปิดตัวลายใหม่บนตัวรองเท้า Classic Slip-On โดยให้รหัสว่า Style#98 หรือนั่นก็คือลาย Checkerboard นั่นเอง ถ้าอยากรู้ว่าลายนี้โด่งดังแค่ไหน ลองนึกภาพตามดูว่ามันเทียบเท่ากับรุ่น Jordan ของ Nike แต่ในแบบฉบับของ Vans นั่นเอง (ใหญ่มั้ยหล่ะ แต่สู้ Jordan ในตลาด Sneaker ไม่ได้อยู่ดีนะ แค่เทียบให้เห็นภาพเฉยๆ)
รองเท้า Slip-On Checkerboard คู่นี้ถูกออกแบบโดยคุณ Paul Van Doren อีกเช่นเคย โดยครั้งนี้เขาได้ไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ แล้วดันสายตาดีไปเห็นเด็กๆ หยิบ Marker มาขีดเขียนบนขอบด้านข้างเป็นลายตาราง จึงปิ๊งไอเดียและผลิตลายนี้ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ใช่จุดที่ Vans ดังระเบิดเถิดเทิงอีกเช่นกัน
-1982-
ปีนี้แหละครับ คือปีสำคัญที่สุดของรุ่น Style#98 เพราะถูกหยิบไปอยู่ในหนังเรื่อง Fast Times at Ridgemont High ซึ่งนำแสดงโดยคุณ Sean Penn ในบทบาท Jeff Spicoli ซึ่งเป็นที่ติดตาตรึงใจอย่างมากกับตัวอย่างภาพยนตร์ดังกล่าวที่ Spicoli ได้หยิบรองเท้า Slip-On Checkerboard มาตีตัวเอง แถมเจ้ารองเท้า Slip-On คู่นี้ยังได้รับเกียรติขึ้นหน้าปกเพลงประกอบของหนังเรื่องนี้อีกด้วย จนรองเท้ารุ่นนี้ขายดีแบบหยุดไม่อยู่ของจริง
-1955-
หลังจากที่ Vans ฟื้นฟูกิจการและเริ่มกลับเข้ามาสู่วงการอีกครั้ง ในปีนี้นี่เอง Vans ก็ได้เป็น Sponsor หลักของ Warped Tour หรือที่รู้จักกันว่าเป็นคอนเสิร์ตที่เดินทางยาวนานที่สุดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งนักร้อง นักดนตรีหลากหลายท่านก็ได้ใส่รองเท้าดังกล่าว แถม Vans เองยังผลิตรองเท้า Slip-On รุ่นใหม่ๆ ที่มีโลโก้ Warped Tour เป็น Collection พิเศษอีกด้วย
การจ่ายเงิน Sponsor ครั้งนั้น ทำให้ Vans Slip-On เป็นที่จดจำของวัยรุ่นยุคใหม่ ตั้งแต่กลุ่มนักดนตรีไล่ไปจนถึงลูกค้าหลักอย่าง Skateborader
-2004-
ปีนี้เป็นปีแห่งการ Customized หรือรองเท้าของฉันต้องไม่เหมือนใครๆ ซึ่ง Vans เคยทำมาแล้วกับรองเท้าอย่าง Vans Old Skool และปีนี้ก็ได้จับเอา Vans Slip-On มาให้ลูกค้าได้ปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์ของแต่ละคนบน Website ตามแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง NikeiD ซึ่งเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่รองเท้ารุ่นนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบเช่นเคย ด้วยสีสันที่มีให้เลือกมากมาย และลวดลายอีกนับร้อย
-2006-
ใครจะเชื่อว่า Vans จะก้าวเข้ามาสู่วงการ Sneaker ของ Hip-Hop Culture นอกเหนือจาก Air Force 1 โดย Vans ได้ถูกหยิบไปสร้างสรรค์ผลงานเพลงชื่อ Vans ของวง The Pack ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เพราะในสมัยนั้น ทุกคนจะอยากได้รองเท้าอย่าง Nike Air Force 1 กันเกือบหมด แต่วงนี้กลับหยิบยกเอารองเท้า Vans มาแต่งเป็นเพลง (โดยอวยถึงความเท่ห์และเก๋ของ Slip-On แบบเต็มๆ) ทำให้เกิดกระแสตอบรับอย่างดี ทำให้ Hip-Hop Culture มีรองเท้าอย่าง Vans อยู่ในเครื่องแต่งกายด้วยในที่สุด
-2016-
เป็นที่พูดถึงอีกรอบเมื่อ Justin Bieber และ Jared Leto เลือกใส่รองเท้า Classic Slip-On ลายตาราง Checkerboard ปั่นลงกระแส Social Media อย่าง Facebook และ Instagram จนทุกคนที่เป็นสาวกหนุ่ม 2 คนนี้ต่างพากันไปซื้อ Vans Slip-On Checkerboard มาใส่กันทั่วบ้านทั่วเมือง และแน่นอนครับว่า กระแสดังกล่าวกำลังก้าวเข้ามาสู่เมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นใครที่อยากได้รองเท้า Slip-On ตำนานๆ แบบนี้ ต้องรีบจัดนะครับ ของหมด หาซื้อไม่ได้ อย่าหาว่า MDs’ ไม่เตือน
Credit photo : Hypebeast / Urbanoutfitters