Camouflage หรือลายพราง ที่ตอนนี้ Street Fashion กำลังจับตามองและปล่อยลายนี้ออกมามากมายจนถือเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Yeezy / Valentino รวมถึงแบรนด์ไทยอย่าง Carnival และ Collection ลายพรางลายใหม่จาก Indigoskin ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศึกในรามเกียรติ์ที่ชื่อว่า “สงครามวานรกับยักษ์” (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Indigoskin : Kanok Camouflage) แต่ที่มาที่ไปก่อนจะมาเป็นลวดลาย Fashion เกิดขึ้นได้อย่างไร MDs’ จัดมาให้อ่านกันอีกเช่นเคยครับ
ลาย Camouflage นั้นเกิดขึ้นโดยกองทัพทหาร ออกแบบเพื่อป้องกันการมองเห็นได้จากระยะไกลหรือใกล้ในช่วงสงคราม โดยชื่อว่า Camouflage เกิดจากศัพท์ภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “ควันระยะสั้นๆ” ความหมายก็ตรงตัวนะ เพราะมันคือการพรางตัวด้วยลวดลายที่ทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นต่ำลงคล้ายการหลบเข้าไปในควันนั่นเอง ซึ่งความจริงแล้วนั้น Camouflage เกิดมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ในช่วงที่นายพรานล่าสัตว์และต้องการพรางตัว ก็จะหาหญ้าหรือใบไม้มาเสียบเพื่อป้องการมองเห็นจากสัตว์ที่ต้องการล่า ต่อมาการพรางตัวเริ่มไม่จำเป็นเพราะการรบนั้นต้องการกำลังพลมากกว่า เพื่อแสดงอำนาจและความน่าเกรงขามให้ฝั่งตรงข้ามได้เห็น
พอเข้าสู่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่ออังกฤษรุกเข้าสู่อินเดีย ได้มีการพัฒนาผ้าแบบใหม่ชื่อ Khaki คล้ายสีทะเลทราย หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาเป็นลายพิมพ์โดยประเทศเยอรมัน และฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อพรางการมองเห็นตั้งแต่รถถัง ไปจนถึงบังเกอร์ แต่ไม่ค่อยช่วยอะไรมาก จนหลังสงคราม ประเทศฝรั่งเศสเริ่มต้นทำวิจัยเกี่ยวกับลายพรางอย่างจริงจัง และได้เริ่มใช้งานในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเริ่มต้นเข้ามาสู่อุตสาหกรรมเสื้อผ้าในปี 1960 หลังจากสงครามเวียดนาม
โดยลาย Camouflage ถูกหยิบมาใส่เพราะเหลือจากสงครามเวียดนามเป็นหลัก ผู้คนเลยหยิบเอาเสื้อที่เหลือใช้มาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งเสื้อผ้าทหารนั้นมีความทนทานจึงเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ และมาบูมแบบสุดๆ ในช่วง 1980-1990 (สงครามอ่าวเปอร์เซีย) ลายพรางก็กลับมาโด่งดังอีกรอบหนึ่ง ถูกหยิบมาใส่ในแนว Sportwear และเสื้อ Jacket จนเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ลายผ้า Camouflage ก็ถูกหยิบมาเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งใน Streetwear ดังที่เคยปรากฏในช่วงสงครามเวียดนาม เสมือนเป็นลายเสื้อผ้าแบบหนึ่งในวงการ Fashion / Hi-Street Fashion ในที่สุด