1. ผู้ชายมีสไตล์จะอ่านคำแนะนำในการดูแลทำความสะอาดเสื้อผ้าของตัวเอง
ผู้ชายส่วนใหญ่เมื่อซื้อเสื้อผ้ามาจากที่ร้าน ก็มักจะโยนลงเครื่องซักผ้าเพื่อทำความสะอาดทันทีโดยไม่ได้อ่านเลยว่าเสื้อผ้าที่ตัวเองซื้อมานั้น มีคำเตือนหรือข้อห้ามและขั้นตอนในการทำความสะอาดอย่างไรบ้าง ตัวอย่างเช่น เสื้อที่เราซื้อมาอาจจะสีตกง่าย หรือต้องซักด้วยมือเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะยืดหรือหดตัว เป็นต้น พอรู้ตัวอีกทีก็เมื่อนำเสื้อผ้าออกมาจากเครื่องซักผ้าแล้วเจอว่าเสื้อผ้าของตัวเองเสียหายซึ่งนั่นก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้น ผู้ชายที่มีสไตล์ทุกคนจะไม่ละเลยที่จะอ่านรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ เพื่อยืดอายุการใช้งานและทำให้เสื้อผ้าอยู่ทรงสวยได้เหมือนตอนแรกที่ซื้อมาให้นานที่สุด
2. ผู้ชายมีสไตล์จะพยายามไม่ซักกางเกงยีนส์ raw denim
กางเกงยีนส์ผ้าดิบ ถูกผลิตออกมาเพื่อให้ผู้ชายนำมันมาใส่ให้นานที่สุดและบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะเอาออกมา “ซัก” ทำความสะอาดด้วยน้ำยาหรือผงซักฟอกต่างๆ เหตุผลก็เพราะกางเกงยีนส์ประเภทนี้เมื่อเจ้าของใส่ไปบ่อยๆนานๆเข้าจะเกิดร่องรอยยับเป็นสีที่ซีดลงหรือที่ภาษาคนรักยีนส์เรียกว่า “เฝด” (fade) ซึ่งจะเป็นรอยยับเฉพาะตัวของคนใส่แต่ละคน และนั่นคือสิ่งผู้ชายมีสไตล์ทุกคนจะทราบดี และพวกเขาจะไม่เอากางเกงยีนส์ของตัวเองไปซักบ่อยๆเด็ดขาด เพราะนั่นเป็นการทำลายรอยเฝด ทำให้รอยเฝดไม่คมชัด และทำให้กางเกงยีนส์ขาดลักษณะเฉพาะตัวของผู้ที่ใส่ไปโดยปริยายนั่นเอง
3. ผู้ชายมีสไตล์จะมีช่างตัดเสื้อประจำของตัวเอง
ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่สั่งตัด (tailor made) ทุกชิ้นตลอดเวลา แต่การที่ผู้ชายมีสไตล์จะมีช่างตัดเสื้อประจำของตัวเองก็เพื่อการแก้ไขรายละเอียดของเสื้อผ้าต่างๆที่เขาซื้อมา เช่น การตัดขากางเกงที่ยาวเกินไป หรือแก้ทรงเสื้อที่หลวมเกินไปจนไม่พอดีตัว เป็นต้น สิ่งต่างๆเหล่านี้คือการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในการแต่งกายของผู้ชายที่มีสไตล์ ซึ่งจะแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นๆส่วนใหญ่ที่มักมองข้ามและคิดว่าผู้ชายจะแต่งกายยังไงก็ได้ เสื้อจะหลวมเกินไป หรือ กางเกงจะขายาวจนกองอยู่บนรองเท้าเป็นชั้นๆก็ไม่มีปัญหา ซึ่งนั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย และยิ่งถ้าเป็น สูท หรือ เบลเซอร์ ที่ต้องการความเนี้ยบและพอดียิ่งกว่าปกติแล้วด้วยล่ะก็ ช่างเสื้อคู่ใจถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ชายเลยทีเดียว
4. ผู้ชายมีสไตล์จะไม่ละเลยความสำคัญของ “กางเกงใน”
ถึงแม้กางเกงในจะเป็นเครื่องแต่งกายที่ผู้ชายไม่ได้ใส่อวดสายตาสาธารณชนภายนอกก็ตาม แต่ผู้ชายมีสไตล์ทุกคนรู้ดีว่า พวกเขาควรให้ความสำคัญกับกางเกงในของพวกเขาเสมอ ไม่ควรใส่กางเกงในที่เก่าจนย้วย หรือขาดชำรุด ถึงแม้ว่าใส่แล้วจะรู้สึกสบายขนาดไหนก็ตามที กางเกงในประเภทบ๊อกเซอร์ (Boxer) หรือ บ๊อกเซอร์บรีฟ (Boxer Brief) เป็นกางเกงในยอดนิยมที่จะไม่ทำให้อึดอัดเกินไปเวลาใส่ และที่สำคัญคือ ผู้หญิงส่วนใหญ่คิดว่ากางเกงในทั้งสองประเภทเป็นกางเกงในที่ดูดีและเหมาะกับผู้ชายที่สุดอีกด้วย ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์ “งานเข้า” ขึ้นมากระทันหัน ผู้ชายมีสไตล์ที่ให้ความสำคัญกับกางเกงในของตัวเองย่อมจะสร้างความประทับใจให้กับผู้หญิงได้มากกว่าผู้ชายที่ปล่อยให้กางเกงในของตัวเองยืดย้วยแน่นอน
5. ผู้ชายมีสไตล์จะไม่มัวนั่งคิดแล้วคิดอีกว่าจะแต่งตัวยังไงดี
ผู้ชายที่มีสไตล์จะมีรูปแบบการแต่งตัวที่เป็นตัวของตัวเอง ที่เกิดจากการ mix and match แนวเสื้อผ้า, สีของเสื้อผ้า และสไตล์การแต่งตัวให้กลายเป็นรูปแบบที่พวกเขาใส่แล้วรู้สึกมั่นใจ จนไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องมานั่งคิดแล้วคิดอีกว่าวันนี้จะใส่เสื้อผ้าอะไรแบบไหนจึงจะดูดี แม้แต่การแต่งกายในงานสำคัญที่ต้องการความเป็นทางการ ผู้ชายที่มีสไตล์เหล่านี้ก็สามารถที่จะหยิบจับเสื้อผ้าที่เหมาะสมและถูกกาลเทศะตามที่เขาได้ศึกษามาสวมใส่ได้ในทันทีเช่นกัน ซึ่งนี่คือข้อแตกต่างระหว่างผู้ชายมีสไตล์กับผู้ชายคนอื่นๆที่จะต้องคอยถามคนนั้นคนนี้ตลอดเวลาว่าควรจะแต่งตัวอย่างไร แบบไหน ในโอกาสต่างๆอยู่เสมอ
6. ผู้ชายมีสไตล์จะยึดหลักการแต่งกายแบบ “Back to Basic”
ผู้ชายมีสไตล์จะไม่พยายามวิ่งตามแฟชั่นที่วิ่งวุ่นไปมารอบตัวเขา พวกเขารู้ดีว่าสิ่งสำคัญของการแต่งกายของผู้ชายไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราหรือความ “เยอะ” ในรายละเอียดที่มากเกินไป แต่อยู่ที่การย้อนกลับไปสู่เครื่องแต่งกายพื้นฐานที่ยังคงอมตะและทำให้ผู้ชายทุกยุคทุกสมัยดูดีได้มาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ชายมีสไตล์จะมีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ถือเป็น Basic ที่ผู้ชายทุกคนควรมีติดไว้ในตู้เสื้อผ้าเสมอ และพวกเขาก็จะนำเสื้อผ้าเหล่านี้มาสวมใส่อยู่เป็นประจำอย่างมั่นใจโดยไม่ลืมคำกล่าวที่ว่า “ผู้ชายดูดีได้ ไม่ต้องเยอะ”
Paul Newman ในชุดทักสิโด้ตามหลักสากล
Steve McQueen กับเสื้อยืดสีขาว+กางเกงยีนส์ ที่ถือเป็นชุดอมตะของผู้ชาย