อย่างว่าแหละครับ ช่วงนี้ใครๆ ก็ให้ความสนใจไปที่ adidas และ Under Armour มากกว่า แม้แต่ก่อนหน้าช่วง Rio Olympics ก็ตามที และถึงแม้ว่าแบรนด์ Nike จะเร่งออก Product ในช่วง Rio Olympics แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนเรื่องยอดขายมากเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขัน London Olympics ที่ผ่านมา
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว Nike ได้เปิดตัวเทคโนโลยี Flyknit ที่หลังจากเปิดตัวก็สร้างกระแสและยิ่งทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง adidas แบบไม่เห็นฝุ่น แต่มาถึงตอนนี้ ด้วยยอดขายที่คงตัวหรือต่ำลง ทำให้หุ้นของ Nike มีการเติบโตเพียงแค่ 1% ในช่วงการแข่งขันกีฬา Olympics ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์อย่าง adidas ที่อัตราการเติบโตขึ้นถึง 5.9% และ Under Armour ก็มีราคาที่สูงขึ้นกว่า 2.3% เช่นกัน
ถึงแม้ว่า adidas และ Under Armour จะไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนหลักของงาน Olympic ครั้งนี้ แต่แบรนด์อย่าง Under Armour กลับมุ่งไปที่ตัวนักกีฬามากกว่า โดยมีนักกีฬาที่ได้รับการสนับสนุกจาก UA มากกว่า 250 ชีวิต (หนึ่งในนั้นคือ Michael Phelps) ส่วน adidas มุ่งเน้นการผลิตเสื้อผ้าให้กับหลากหลายทีมชาติ อาทิเช่น อังกฤษ และ เยอรมันเป็นต้น ในขณะที่ Nike เลือกสนับสนุนนักกีฬา U.S. Olympics Teams เป็นหลัก
ไม่ใช่แค่แบรนด์ด้านกีฬาเท่านั้นที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัดในงาน Rio Olympics ครั้งนี้ แต่รวมไปถึงแบรนด์อย่าง Ralph Lauren ที่มีอัตราการเติบโตของหุ้นสูงขึ้นกว่า 12% หลังจากที่ทีมชาติ USA เลือกแบรนด์นี้ใส่เข้าร่วมงาน Rio Olympics นั่นเอง
งานนี้เห็นท่าว่า Nike จะตกที่นั่งลำบาก กับการกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองคืนกลับมาในเร็ววัน ไม่เช่นนั้นแบรนด์อย่าง Under Armour ที่ปัจจุบันถือเป็นเป็นแบรนด์กีฬาอันดับ 1 ของโลกไปแล้ว จะขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แถมคู่แข่งอย่าง adidas ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ