วันนี้คอลัมน์ “MenDetails ชวนชิม” ของเราพาคุณบินไปไกลถึงมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อไปชิมอาหารประจำชาติมะกันที่ถึงแม้เราจะรู้ว่ามัน “อ้วน” ขนาดไหน แต่เราก็ยังอดใจไม่ได้ที่จะต้องไปจัดให้ถึงที่ให้ได้จริงๆ สิ่งนั้นก็คือ “แฮมเบอร์เกอร์” นั่นเองครับ
เราแวะไปที่ร้านที่มีชื่อว่า Raw Material NYC ซึ่งอยู่ในย่าน Lower East Side ของเกาะแมนฮัตตั้น ในกรุงนิวยอร์ก วิธีการไปที่ง่ายที่สุดคือนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Delancey Street จากนั้นเดินหาซอย Orchard Street ที่อยู่ไม่ไกล เข้าซอยไปแค่ 50 เมตรก็ถึงแล้วครับ ร้านอยู่ซ้ายมือเลย
ร้าน Raw Material NYC เป็นร้านเล็กๆกับบรรยากาศนุ่มๆ เปิดเพลง House แบบหนึบๆพอเป็นพิธี เหมาะกับการชวนเพื่อนมาจิบเบียร์หลังเลิกงาน แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักของเรา เพราะเรามาเพื่อสุดยอดเมนูที่กำลังเป็นที่โจษจันในหมู่ชาวนิวยอร์ก แห่งปี 2016 นั่นคือ “เบอร์เกอร์ระเบิด!”
นั่งลงอ่านเมนู….. ไม่มีเมนูเบอร์เกอร์ซักกะอย่างเดียว…. “เอ๊ะ… หรือเราเข้าร้านผิด?… ไม่น่าเป็นไปได้นะ”
นั่งงงอยู่ซัก 5 นาทีจึงตัดสินใจสอบถามพนักงานที่ก็น่าจะเป็นเจ้าของร้านด้วยว่า “ที่นี่มีเบอร์เกอร์ระเบิดที่เขาร่ำลือกันรึเปล่า?”
คำตอบที่ได้มาคือ มีครับ! แต่มันไม่มีอยู่ในเมนูร้าน ใครอยากกินต้องเจาะจงสั่งเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นเมนูลับที่ถ้าคุณไม่รู้ ไม่ถาม ก็ไม่ได้กินแน่ๆ ในเมื่อมีก็จัดมาเลยอย่าให้เสียเวลาครับ ไม่นานเบอร์เกอร์ระเบิดของเราก็มาถึงครับ หน้าตาของมันดูธรรมดามาก ทางร้านเลือกใช้ขนมปังฝรั่งเศส หรือ Baguette แทนที่จะเป็นขนมปังแบบนิ่มๆทั่วไป ส่วนเนื้อเป็นเนื้อ US Angus แท้ๆ ทั้งจานมีเท่านี้ ไม่ต้องมีผัก ไม่ต้องมีเฟรนช์ฟรายใดๆทั้งสิ้น
ไฮไลท์ของเบอร์เกอร์ระเบิด อยู่ที่เนยและชีสที่อัดแน่นอยู่ “ภายใน” ขนมปังฝรั่งเศสครับ ซึ่งถ้าเราเจาะรูที่ขนมปังแล้วออกแรงกดสักนิด เจ้าตัวชีสเยิ้มๆก็จะพุ่งทะลักออกมาจากขนมปัง เป็นที่มาของชื่อเบอร์เกอร์ระเบิดนี่เอง
MenDetails จัดแจงเจาะรูและบีบชีสออกมาตามธรรมเนียม ให้ชีสไหลเยิ้มลงมาทั่วเนื้อ ก่อนจะเริ่มชิม เพียงคำแรกก็รู้เลยว่าเบอร์เกอร์ที่นี่รสชาติของชีสหนักแน่นมากๆ ถ้าเป็นนักมวยก็ต้องระดับ Heavy Weight แน่นอน ชีสเยิ้มไหลไปทั่วขนมปังทั้งชิ้นบนและล่างจนทำให้ขนมปังฝรั่งเศสที่แข็งๆนั้น นิ่มลงจนนุ่มปาก เคี้ยวสะดวกสุดๆ นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทางร้านเลือกใช้ขนมปังแข็งๆแบบนี้ เพราะถ้าขืนใช้ขนมปังแบบนิ่มๆ เมื่อโดนกับชีสปริมาณมหาศาลขนาดนี้คงเหลวเละจนกินไม่อร่อยแน่นอน ส่วนเรื่องเนื้อไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ ปรุงมาแบบ Medium กำลังดี นุ่มลิ้นเป็นที่สุด แม้ชีสจะเยอะมากแต่เราก็ยังสัมผัสรสชาติของเนื้อได้อย่างชัดเจนครับ
กินหมดชิ้นขนาดกำลังดี พร้อมทั้งดูดนิ้วและโกยชีสที่เหลืออยู่ในถาดมาซดจนหมดด้วยความเมามัน สะท้อนถึงความอร่อยที่เราคงบรรยายไม่หมด เรียกเช็คบิลพร้อมจ่ายทิปในราคารวมทั้งหมด 19 USD แม้จะเกินงบ “500 บาทกินไรดี” แต่เชื่อเถอะว่ามื้อนี้ คุ้ม!